01 มีนาคม, 2556

จิตอิสระ บทที่ 4: ซึมซับ ตอนที่ 27 โดย อิสระ

จิตอิสระ บทที่ 4: ซึมซับ ตอนที่ 27 โดย อิสระ

ใบหน้าสีขาวสะอาดตา มองหน้าเธอจากด้านบน มีแสงไฟสลัวลอดผ่านไรผมจนมองรูปลักษณ์ใบหน้าไม่ชัดเจน แต่ที่เห็นแน่ๆคือ ฟันขาวสะอาดยาวเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ เป็นอากัปกิริยาของคนที่ยิ้มอย่างดีใจ อลิสสิตาพยายามกระพริบตาถี่ๆเพื่อไล่น้ำตาออกจากบ่อดวงตาของเธอ แต่ก็ไม่สำเร็จ จึงใช้เรียวนิ้วชี้ปาดน้ำตาออกจากดวงตาเธออย่างช้าๆ เธอจึงเห็นผู้ชายที่อยู่เบื้องหน้าของเธอ...

ทันทีทันใดนั้น เธอก็สะดุ้งสุดตัวอย่างตกใจ นี่เธอกำลังอยู่ต่อหน้าชายเปลือยเปล่าที่กำลังจะมาทำมิดีมิร้ายเธอแน่ๆ อลิสสิตาได้สติก็งอเข่าตนเองขึ้นแล้วยกขายันร่างนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว

"เหวอ!"   ชายคนนั้นร้องอุทานอย่างตกใจ ร่างก็หงายล้มลงไปด้านหลัง อลิสสิตาพยุงตัวได้แล้วก็รีบหันหลังออกวิ่ง ลมจากทิศเหนือไหลผ่านร่างกายพลันเธอรู้สึกหนาวสั่น พอมองลงไปยิ่งตกใจแทบสิ้นสติ

เธอไม่ได้สวมเสื้อผ้าอะไรเลย!!!!

...เจนนู!! นายไปไหน... อลิสสิตาเรียกเจนนูอยู่ในใจ หวังจะให้เขาได้ยินและรับรู้เพื่อมาป้องกันเธอจากภัยคุกคาม แต่กลับไม่มีเสียงตอบกลับ หรือสัญญาณใดๆเลยที่จะทำให้เธอรู้ว่าเจนนูอยู่กับเธอ เหมือนกับเธอพูดอยู่คนเดียว...เป็นความรู้สึกเหมือนเมื่อก่อน...เมื่อก่อนที่ร่างกายเป็นของเธอคนเดียว??

...เจนนูไปไหนนะ... อลิสสิตาวิตกกังวลอย่างหนักขณะวิ่งฝ่ากกหญ้าท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน พลางเอาสองมือปกปิดส่วนสงวนทั้งบนและล่างเธอไว้ สายตากลิสสิตาที่ยังไม่พร้อมดีต้องจ้องเขม็งฝ่าความมืด อาศัยแสงไฟจากแดนไกลเพียงน้อยนิด ในขณะที่หูของเธอได้ยินเสียงย่ำเท้าฝ่าพงหญ้าจากด้านหลังติดๆ

...ทำไมเจนนูหายไป แล้วเรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ใครตามเรามา...

ทันใดนั้นหลุมดินเก่าที่เต็มไปด้วยน้ำขังก็รองรับร่างของอลิสที่ตกลงไปอย่างรวดเร็ว
"ว๊ายย!!"

น้ำครำเย็นๆกระเซ็นออกมาจากหลุมดินเก่า ขณะที่อลิสรีบโผล่พ้นน้ำอย่างรวดเร็ว กลิ่นน้ำเน่าคละคลุ้งไปทั่ว

อลิสสิตาใช้มือทั้งสองข้างเกาะพื้นขอบหลุม  แล้วพาตนเองคลานขึ้นจากหลุมนั้น พร้อมกับไอเสียงดัง สำรอกน้ำเน่าที่หลุดเข้าปากเธอไป เศษหญ้า ซากเปลือกหอย เศษไม้ติดตามเนื้อตัวเปลือยเปล่า เนื้อตัวสั่นสะท้านด้วยความหนาว อลิสสิตาพยุงร่างกายขึ้นอีกครั้ง แต่มีมือขวายื่นมาหาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างๆขาวสะอาดนั่น

"แม่หญิง...ให้ข้าช่วยไหม" ชายคนนั้นพูด อลิสอ้าปากค้าง ดวงตาของเธอมีน้ำตาเล็ดออกมาด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย แต่กลับประหลาดใจในน้ำเสียงและลักษณะการพูดของชายเบื้องหน้า อย่างไรก็ตาม เธอไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ นอกจากส่งมือของเธอกลับไปเพื่อช่วยให้เธอพ้นจากหลุมดินเก่าอันโสมม

ทันทีที่มือส่งถึงกัน ชายคนนั้นก็ดึงร่างอลิสสิตาออกจากหลุมได้อย่างง่ายดาย ออกมายืนข้างหน้าเขา พอดีกับก้อนเมฆหนายามราตรีที่ลอยหนีจากดวงจันทร์ เผยแสงนวลที่ถูกบดบัง ใบหน้าสว่างคมคายของชายหนุ่มก็ปรากฎต่อหน้าอลิสสิตา...

"นาย!"
"ถูกแล้ว แม่หญิง ข้าเอง"

อลิสสิตาร้องได้แค่นั้นก็หลับตาลงอีกรอบอย่างเหนื่อยอ่อน คงพอมากแล้วสำหรับวันนี้ของเธอที่แสนหนักหนาสาหัส คงมากพอแล้วกับการที่ต้องเจออะไรที่ไม่คาดคิดมาตลอดทั้งวัน ถึงแม้ก่อนสิ้นสติเธอจะรู้ดีว่าต่อหน้าเธอคือชายเปลือย และเธอก็ไม่ต่างอะไรกับเขาเลย แต่เธอก็ไม่หวาดระแวงเหมือนเมื่อครู่อีกแล้ว เพราะใบหน้านั้นเป็นใบหน้าของคนที่เธอรู้จัก คนที่เธอคุ้น แม้จะไม่เคยเห็นหน้าก็ตาม ใบหน้าที่เธอนึกอยุ่ในความคิดตลอดเวลา....



ใบหน้าของเจนนู...

จบตอนที่ 27 กรุณาติดตามต่อ ตอนที่ 28

28 กรกฎาคม, 2555

จิตอิสระ บทที่ 4: ซึมซับ ตอนที่ 26 โดย อิสระ

จิตอิสระ บทที่ 4: ซึมซับ ตอนที่ 26 โดย อิสระ

เจนนูไม่รับรู้สึกเสียแล้ว! ด้วยเพราะการที่ต้องใช้จิตและพลังงานเป็นจำนวนมากเพื่อปรับสภาพร่างกายตนที่ยังไม่สมบูรณ์แบบมาใช้ป้องกันตัวและต่อสู้ ทำให้เขาต้องหมดสติไป แต่ครั้งสุดท้ายที่เขาพยายามทำได้ก็เพียงยืดร่างกายกลับมาคลุมร่างอลิสสิตาให้เหมือนชุดธรรมดากันอุจาดเท่านั้น
 หลัง จากอลิสสิตาพยายามเรียกเจนนูหลายครั้งแต่ไม่มีเสียงตอบกลับหรือการขยับร่าง กายใดๆทั้งสิ้น เธอจึงลุกขึ้นสำรวจตนเอง พบว่าชุดของเธอทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเสื้อ กระโปรง เข็มขัด แม้แต่รองเท้าส้นสูงก็ไม่เหลืออยู่เลย มีเพียงต่างหูเม็ดกลมเล็กๆเท่านั้นที่เป็นเครื่องประดับของเธอ นอกนั้นเป็นร่างกายของเจนนูที่ครอบคลุมเธอตั้งแต่ส่วนแผงคอเกาะบริเวณหน้าอก ของเธอจนถึงหน้าขาอ่อนเป็นสีดำด้าน ราวกับไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ทั้งๆที่ปกติควรมีสีดำมันเงาตลอดเวลา เธอคิดว่าบางทีเจนนูอาจจะสลบไปก็ได้เพราะเขาปกป้องเธอจากการกลิ้งลงจากที่ สูง
                อลิสสิตาสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบกาย พบว่าเธอกำลังยืนอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่เพียงต้นเดียวด้านหน้าแถวต้นกกสูงเรียวเป็นทุ่ง มันคือที่รกร้างที่ไม่สามารถก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางธุรกิจใดๆให้กับเจ้าของที่ดิน ด้วยเพราะมันตั้งอยู่หลังตึกสูงใหญ่ที่ปิดทางเข้าออกรถยนต์ สัญจรได้เพียงทางเท้า ไหนจะติดคลองเล็กๆอีก ใครเล่าจะเอาที่ดินนี้มาทำกิน อลิสสิตา ตัดสินใจเดินแหวกดงต้นกกไป เพราะมันเป็นทางเดียวที่จะหนีจากวิชิต ชายหนุ่มผู้มีสิ่งผิดปกติกับร่างกายที่น่าเกลียดน่ากลัว มือขวาของเขาสามารถยืดออก ขยายใหญ่ ทำร้าย สร้างความเสียหายต่อสิ่งใดๆก็ตามได้ตามใจชอบ ซ้ำยังรวดเร็วราวกับลูกธนูเสียอีก โชคดีแค่ไหนที่เจนนูสามารถช่วยเธอได้
                ดงต้นกกที่เธอกำลังเดินผ่าน แต่ก่อนเคยเป็นทุ่งนาที่เขียวสดงดงาม จนเมื่อนายทุนยักษ์ใหญ่คิดสร้างภัตตาคารหรูหราปิดทางเข้าออก มันทำให้การทำนาไร่เป็นไปได้ลำบาก จนสุดท้ายต้องปล่อยรกร้างไป เหลือแต่เศษฟางที่โผล่ตามพื้นเป็นร่องรอยว่าที่แห่งนี้เคยเป็นความหวังอันสดใสมาก่อน ซึ่งนั้นกลายเป็นการสร้างความลำบากให้อลิสสิตาในการเดินเข้าไป เพราะเธอไม่มีรองเท้า อลิสสิตาจึงต้องค่อยเดินและมองตรงพื้นที่ยืนอยู่ เพื่อไม่ให้ตนเองเหยียบเศษไม้ เปลือกหอย หรืออะไรก็ตามที่จะบาดฝ่าเท้าเล็กๆของเธอได้
                ครึ่งชั่วโมงผ่านไป แสงแดดยามบ่ายส่องทะลุใบสีเขียวซีดๆของต้นกก อลิสสิตายังคงเดินต่อไปอย่างช้าๆ เธอได้ยินเสียงหวอดังแว่วๆมาแต่ไกลๆ เงยหน้ามามองเบื้องหน้าก็พบแต่ท้องฟ้าสีสดแต่ไกลๆโดยมีดงใบกกบังรกหูรกตา คิดจะหันไปมองด้านหลังก็คงไร้ผล เพราะคงมีแต่ทางที่เธอผ่านที่มีรอยเท้าเล็กๆย่ำบนพื้นแฉะๆกับใบกกที่รีบสุม มาปิดทางที่ผ่านมาราวกับไม่ต้องการให้เธอกลับไปอีก
                อลิสสิตา เชาวกรกุล เริ่มเหนื่อยล้ากับการเดินอยู่ในที่แบบนี้ อากาศรอบข้างนั้นอบอ้าวและชื้นแฉะ แมลงเล็กๆที่เกาะตามใบกกโดดไปมา บางครั้งก็เกาะร่างเธอจนต้องปัดออกด้วยความรำคาญ ใบหน้าเธอตอนนี้ชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อที่ไหลมาโทรมแก้มสีแดงจัดเพราะโดนแดด ริมฝีปากเธอเริ่มซีดเพราะอาการเหนื่อยและขาดน้ำ เธอไม่ได้ออกกำลังกายมาเป็นปีๆแล้วหลังจากที่เริ่มตั้งใจกับกิจการของพ่อตนเอง เธอคิดถึงสอง-สามวันที่เพิ่งผ่านมา หลายๆสิ่งมันเปลี่ยนไปมากมาย จนเธอเริ่มจะปรับตัวไม่ทันเสียแล้ว ทั้งๆที่ใจเธอครั้งแรกต้องการการเปลี่ยนแปลงแบบหักเหสุดๆจากวิถีชีวิตประจำวัน แต่ตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกอยากให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม อยากให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับไปเริ่มใหม่ถึงตอนที่เธอกำลังนั่งทานอาหารอยู่กับ ริชมอนต์ แซมเมอร์สัน ผู้เป็นพ่อ เจ้าสัวภูชิต และนายวิชิตที่ยังเป็นคนปกติอยู่ อยากให้กลับไปอยู่ในคืนนั้น ก่อนที่เธอจะลุกออกจากที่นั่งนั่นไป...
ทันใดนั้น อลิสสิตาก็ละทิ้งดงต้นกก ละทิ้งแสงแดดที่แผดเผา ละทิ้งตั๊กแตนที่เกาะแขน ละทิ้งเปลือกหอยที่บาดฝ่าเท้าไป แล้วดิ่งตนลงสู่อาหารมื้อค่ำอันแสนหรูหรา...

“...” ความรู้สึกของแอร์เย็นๆมากระทบแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเธอ อลิสสิตาได้ยินเสียงแว่วของชายชราที่คุ้นหูจากด้านซ้าย แล้วทุกสิ่งในคลองสายตาเธอก็เลื่อนกลับมาอย่างรวดเร็ว
อ-ลิ-ส-สิ-ต-าเสียงชายชราย้ำอีกครั้ง เธอได้ยินมันชัดเจนแล้วเสียงดนตรี เสียงอากาศ เสียงของช้อนเงินกระทบกับจานเซรามิกก็ตามมาอย่างรวดเร็ว
อลิสสิตา!!
คะ?? คะ??” อลิสสิตาหันขวับไปตามเสียง ดวงตาเธอกระพริบถี่ๆเพราะปรับกระแสการรับรู้ไม่ทัน หันกลับไปเห็นชายชราที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี ริชมอนต์ แซมเมอร์สัน พ่อของเธอที่มองด้วยดวงตาสีฟ้าอ่อนฉายแววสงสัยระคนประหลาดใจ เพ่งพินิจมองเธอราวกับพยายามอ่านจิตใจ
พ่อถามว่า ลูกจะทานอะไรอีกมั้ย?”
อ่อ...ค่ะ...ไม่ทานค่ะเธอตอบอย่างรวดเร็วแล้วหันไปมองรอบข้าง เจ้าสัวภูชิตกำลังใช้ส้อมตักคัสตาร์ดชิ้นใหญ่เข้าปาก นายวิชิตยังคงมองเธอด้วยสายตากะลิ้มกะเหลี่ยไม่วางวาย เสียงเครื่องสีและเครื่องทองเหลืองดังแว่วจากด้านหลังของเธอ อากาศเย็นๆ จากแอร์ยังคงตกใส่แผ่นหลังของเธออย่างต่อเนื่อง อลิสสิตาก้มลงมามองตนเองในชุดผ้าไหมสีฟ้าเกาะอกสวยงาม มีลายกระวัตเป็นรูปทรงดอกไม้สวยงาม
                เธอยังคงอยู่ในร้านอาหารสวยหรูที่ใช้นัดพบดูตัวใจกลางเมืองกรุงเทพฯ และเพิ่งเสร็จสิ้นจากการรับประทานอาหาร นายริชมอนต์กวักนิ้วเรียกเด็กเสิร์ฟให้มาเช๊คบิลหลังจากเช็ดปากเรียบร้อย ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ....
....เป็นปกติทุกอย่างจริงๆ...
                อลิสสิตาเดินตามพ่อของเธอลงมาชั้นล่าง ยกมือไหว้ลาเจ้าสัวและนายวิชิต และเดินขึ้นรถไป เธอเดินอ้อมรถไปอีกด้านหนึ่งเพื่อให้พ่อของเธอได้นั่งด้านที่ติดกับทางเดิน นายเอกพันธ์เดินมาเปิดประตูให้ นายเอกพันธ์ก็ยังเป็นนายเอกพันธ์อยู่เช่นเดิมที่ยังตามติดเธอไม่หนีไปไหน เมื่อทั้งหมดขึ้นมาบนรถเรียบร้อย สารถีก็เหยียบคันเร่งส่งรถยูโรปคันงามออกไปยังถนนใหญ่
“อลิสลูก...” จู่ๆนายริชมอนต์ก็เอ่ยขึ้นมาห้วนๆ
“ค..คะพ่อ” อลิสสิตาหันไปมองบิดาตนเองด้วยความงวยงง นายริชมอนต์ซึ่งกำลังมองไปยังถนนเบื้องหน้าด้วยสายตาเลื่อนลอย ใบหน้าขาวนั้นถูกแต้มด้วยเม็ดเลือดสีแดงที่ผุดขึ้นมาด้วยฤทธิ์ไวน์นั้นโดนแสงไฟสีอำพันสาดส่องจับใบหน้าเป็นระยะๆ ปรากฏให้เห็นร่องรอยแห่งกาลเวลาที่พรากเอาความเต่งตึงกระชับของชายผู้นี้ไป แต่ไม่อาจพรากดวงตาที่แฉวแววความสดใสของชีวิตเขาไปได้
“จะเป็นอะไรมั้ย ถ้าพ่อขอให้ลูกหมั้นกับ...”
“ไม่ค่ะพ่อ!!!” อลิสสิตารีบชิงปฎิเสธก่อน เธอรู้ว่าพ่อของเธอจะต้องบังคับให้เธอหมั้นกับวิชิตเป็นแน่แท้
“...พ่อยังพูดไม่จบเลย” ริชมอนต์พูดเรียบๆ ไม่แสดงอาการใดๆ “ ตอนนี้พ่อก็จะ70ปีแล้ว...กิจการของเราก็กำลังเป็นไปได้ดี การที่ลูกจะมีคู่ชีวิตเพื่อก้าวเดินต่อไปข้างหน้าก็ควรอยู่ไม่ใช่หรือ?...” อลิสสิตารับฟังคำพูดของพ่อเธอขณะก้มหน้าลงไม่พูดอะไร
“เมื่อเย็นที่ผ่านมานี่พ่อไม่ได้ให้ลูกมานัดดูตัววิชิตหรอก พ่อแค่ต้องการให้ลูกพบอีกคนนึง”
...แผนซ้อนแผนหรอ ยังไงเราก็ยังรับไม่ได้อยู่ดี จะเอาใครที่ไหนไม่รู้มานอนเตียงเดียวกัน... เธอคิดพลางแอบถอนหายใจเบาๆ
“คนๆนี้พ่อเพิ่งพบได้ไม่นาน ยังไม่ทันจะได้คุยด้วยซักคำ แต่พ่อเชื่อใจเขา” อลิสสิตาหันมามองพ่อเธอทันทีด้วยความตกใจ ไม่มีทางที่นายริชมอนต์ แซมเมอร์สันจะหลุดคำพูดที่ไร้กระบวนการไตร่ตรองอันละเอียดยิบออกมาได้เด็ดขาด ราวกับประโยคนี้เป็นเรื่องไร้สาระทันที ในขณะที่ริชมอนต์พูดนั้น เขาก็ยังมองไปยังถนนด้านหน้าอยู่ ทั้งรถตกอยู่ในความเงียบงัน เสียงเพลงคลาสิกในรถที่นายริชมอนต์ชอบฟังก็เหมือนจะละลายหายไปในห้วงเวลาที่หยุดนิ่ง
“พ่อ จะ แนะ นำ ให้ ลูก รู้ จัก กับ...” ริมฝีปากขยับขึ้นลงตามการออกเสียงอย่างช้าๆ หัวใจอลิสสิตาเต้นเป็นจังหวะดังชัดเจนราวกับอยู่ข้างๆหู นายริชมอนต์ค่อยๆหันมาเผชิญหน้าอลิสสิตาอย่างช้าๆ ริมฝีปากเผยอ ออกเห็นลิ้นที่ดุนเพดานปากผ่านไรฟันเพื่อออกเสียงให้ชัดเจน
“น-า-ย เ-จ-น” เสียงที่เกิดจากกระบวนการกลั่นกรองของร่างกายแล่นผ่านอากาศกระทบเข้าโสตประสาทของอลิสสิตาอย่างช้าๆ และชัดเจน อลิสสิตาได้ยินพยางค์แรกเข้ากระทบประสาทการรับรู้ตนเองด้วยความรู้สึกราวกับถูกถาโถมด้วยความกดดันมหาศาลเข้าทั้งตัว แล้วฉับพลัน ใบหน้าขาวสะอาดมีรอยเหี่ยวย่นของริชมอนต์ก็ค่อยๆเกิดความเปลี่ยนแปลง ใบหน้านั้นหมองคล้ำลงเกิดรอยหมุนตรงกลางใบหน้าแล้วบิดหมุนบรรยากาศในรถทั้งหมดทั้งมวลให้กลายเป็นสีดำ ฉับพลันร่างกายเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นรอบกาย รู้สึกถึงความอ่อนนุ่มที่ละเลียดไปมาบนแผ่นหลัง เสียงครวญครางของบางสิ่งที่ฟังดูคุ้นหูเมื่อยามเธอยังเด็กเคยวิ่งเล่นตามทุ่งหญ้า อลิสสิตารู้สึกได้ว่าดวงตาเธอนั้นชุ่มฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำเย็นๆที่เอ่อล้นขึ้นมา แล้วริมฝีกปากเธอก็เผยอออก สูดอากาศอุ่นพิลึกเข้าปอดอย่างรวดเร็ว
แล้วเธอก็สำลัก....

“ฟื้นเสียที แม่หญิง...” เสียงคุ้นหูดังออกมาจากด้านหน้าของเธอ เสียงที่เธอได้ยินมาตลอดเวลาที่เกิดเหตุการณ์ประหลาด เสียงที่ฟังดูอาจจะมีสำเนียงการพูดที่แปลกพิลึก แต่เมื่อได้ยินครั้งไหนก็สามารถทำให้รู้สึกอบอุ่นได้ มันไม่ได้เกิดจากจิตใจของเธอ แต่มันมีต้นกำเนิดออกจากภายนอก มันอยู่เบื้องหน้าห่างแค่ช่องว่างของอากาศ
แล้วอลิสสิตาก็ลืมตาขึ้นมา
ด้วยหยาดน้ำตาที่หลั่งรินออกมาทำให้สายตาเธอพร่ามัวและเบลอจนมองไม่ชัด ประกอบกับแสงยามค่ำคืนที่ไม่สามรถมองได้อย่างแช่มชัด เธอเห็นโครงหน้าคมเรียวในความมืดมัวนั้น เส้นผมเล็กๆละเอียดปรากฏรอบศีรษะนั้นกำลังปลิวไสวตามสายลมเฉื่อยๆที่พาความหนาวเย็นจากทิศเหนือ ต้นคอและช่วงไหล่เปลือยเปล่ากำลังสะท้อนแสงไฟอันริบหรี่จากแดนไกลทำให้เธอรู้ว่าร่างนั้นไม่ได้สวมอาภรณ์ใดๆทั้งสิ้น และกำลังอยู่เหนือตัวเธอ
...ใคร???....

จบตอนที่ 26 อ่านต่อ ตอนที่ 27 นะครับ
(สวัสดีวันอาทิตย์ที่สดใสครับ ขอให้มีความสุขในวันหยุดนะครับ )

อิสระ


20 กรกฎาคม, 2555

จิตอิสระ บทที่ 4: ซึมซับ ตอนที่ 25 โดย อิสระ


จิตอิสระ บทที่ 4: ซึมซับ ตอนที่ 25 โดย อิสระ

ด้วยความชำนาญในการยิงปืนสั้นของกิตติที่ผ่านการฝึกฝนและประสบการณ์อันโชกโชน ไม่มีปัญหาหรืออุปสรรคใดๆที่จะขัดขวางความแม่นยำดุจจับวางของเขาในวินาทีนั้น ลูกกระสุนระเบิดออกจากลำกล้องโลหะพุ่งเข้าสู่ช่วงแขนของวิชิตอย่างแม่นยำ เจาะเข้าฝังกับกล้ามเนื้อแขนช่วงบนของวิชิตจนทำให้มือที่สะบัดออกไปหมายจะทำร้ายอลิสสิตานั้นเบี่ยงเบนวิถีออกไปด้านข้างๆแทน ทำให้เจ้านิ้วที่ยืดออกไปเหล่านั้นพุ่งออกไปเจาะทะลุผนังภัตตาคารจนกลายเป็นรูโหว่แทน
วินาทีนั้นจากผู้คนที่มากมายซึ่งกำลังมึนงงกับเหตุการณ์ถึงกับแตกตื่นวิ่งหนีหาทางออกกันอย่างวุ่นวาย พริบตาเดียวคนเหล่านั้นก็หายไปจากตัวห้องอาหารราวกับเม็ดทรายไหลออกจากภาชนะอย่างไรอย่างนั้น
“เหี้ยอะไรของมึงวะ กูอุตส่าห์ปล่อยมึงไปแล้ว ยังจะอยากตายอีกใช่มะ” วิชิตเปิดฉากหันมาหาตำรวจที่ยิงแขนตนเองอย่างโมโหขณะเอามืออีกข้างมากุมรอยแผลที่เกิดจากกระสุนที่แขนขวาตน ก่อน ที่จะสั่งให้นิ้วมือของตนเองหดกลับเข้ามา ยังไม่วายจะลากเอาโต๊ะหินอ่อนมาด้วย กิตติที่กำลังจะลุกขึ้นมายืนพอดีก็ต้องปลิวออกไปอย่างแรงเพราะถูกโต๊ะกลมๆกระแทกเข้าอย่างจัง จนไปติดผนังภัตตาคารอีกด้านก่อนจะร่วงลงไปกับพื้นด้วยร่างกายที่ไร้สติสัมปชัญญะ
...ความรู้สึกข้าบอกว่านั่นเคยเป็นส่วนหนึ่งของตัวข้ามาก่อน... เจนนูบอกหลังจากพินิจพิเคราะห์เจ้าสิ่งที่เป็นเส้นยาวราวกับแส้ของวิชิตที่ยืดออกมาจากส่วนที่เป็นมือขวาของเขา
...แปลว่าอะไร??? นายเป็นคนแบ่งให้กับเขาหรอ?....อลิสถามกลับในใจ
...เปล่าเลย ข้าก็ยังไม่เข้าใจเช่นกัน    แต่ถึงอย่างไร ข้าจะปกป้องเจ้าเอง อย่าห่วง...
...อ่า... อลิสสิตารู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าเจนนูจะปกป้องเธอได้มากแค่ไหน

“อย่ามาเสียเวลากันดีกว่า กูพูดแบบตรงๆนะ มึงต้องมาเป็นเมียกูอีอลิส กูจะได้มีตังใช้จบๆไป” วิชิตตะคอกพร้อมเดินเข้ามาหา มือขวาของเขาที่กลับมาเป็นปกตินั้นพุ่งเข้าไปหาอลิสสิตาที่อย่เบื้องหน้าและขยายออกเป็นเส้นกลมเรียว 5 เส้นหมายจะคว้าร่างของเธอไว้ เจนนูซึ่งเตรียมตัวพร้อมอยู่แล้วก็เกร็งร่างของตนและยืดอวัยวะออกให้เป็นเส้นเล็กๆมากมายทั่วร่างราวกับหนามเม่น ขณะที่อลิสสิตาตกใจก้มลงต่ำหันหลังหนี
                นั่นมีผลให้เจ้าเส้นที่ยืดออกไปเหล่านั้นโดนหนามเสียบทะลุในขณะที่มันพยายามจะจับตัวของอลิสสิตาไว้ วิชิตร้องอุทานเสียงหลงในขณะที่ยังกัดฟันทนจับร่างของอลิสสิตาไว้ แล้วยกร่างของเธอขึ้นก่อนขว้างออกไปไกลตัว
“อีเหี้ย มึงทำกูเจ็บเรอะ!!!” วิชิตสบถด้วยใบหน้าแดงกล่ำยืดมือกลับอย่างรวดเร็ว ก้มลงมามองมือของตนที่เป็นรูเล็กๆมากมาย วิชิตกำหนดสติของตนแล้วบังคับให้มันหายเป็นปกติ พักเดียวมือของเขาก็กลับมาเป็นดังเดิม แต่กลับทำให้วิชิตรู้สึกกระหายมากขึ้น เขาวิ่งเข้าหาอลิสสิตาที่กำลังลุกขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับหมัดแน่น
...เจ้านั้นเข้ามาอีกครั้ง แม่หญิงระวัง... เจนนูรีบร้องเตือนขณะที่ร่างของตนหดกลับมาเป็นปกติอีกครั้งแล้วกำลังขยายตัวเพื่อป้องกัน อลิสหันมามองวิชิตที่กำลังพุ่งเข้ามาหาแล้วกะจังหวะ สมัยเธอยังเรียนอยู่ เธอเคยเรียนวิชาป้องกันตัวมาบ้าง และด้วยส่วนตัวเธอชอบผจญภัยอยู่แล้ว เมื่อถึงจุดที่พอเหมาะพอดีเธอก็รีบถีบตัวเองโดดหลบออกไปด้านข้างจนเกือบโดนมือของวิชิตที่พุ่งขยายออกมาหมายจะทำร้ายอย่างฉิวเฉียด พริบตานั้นเจนนูซึ่งอ่านความคิดเธอออกก็ยืดร่างของเขาออกเป็นก้อนกลมเข้าอัดกระแทกร่างวิชิตที่ไม่ทันตั้งตัวได้ทันจนปลิวออกไป
อลิสสิตาม้วนตัวลงกับพื้นเพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากแรงกระแทกแล้วกลับมาลุกขึ้นอย่างว่องไว หันไปมองร่างของวิชิตที่ลงไปนอนข้างเสาหินอย่างระมัดระวัง
...แม่หญิง หนีไปก่อนเถอะ... เจนนูร้องออกความเห็น อลิสสิตาก็ไม่คิดแย้ง เพราะนี่คือโอกาสอันแสนสั้นที่จะหนีให้พ้นพอที่จะไปตั้งหลักได้ อลิสสิตาหันหลังออกวิ่ง เธอก็ไปยังประตูทางออก กระโดดข้ามโต๊ะเก้าอี้และเฟอร์นิเจอร์ต่างๆที่วางล้มระเนระนาด
“จะไปไหนวะแก”  เสียงร้องดังออกมาจากด้านหลัง อลิสสิตาหันกลับไปมองเห็นเส้นปลายแหลมมากมายยืดออกมาจากมือของวิชิตที่นอนอยู่ตรงนั้น อลิสสิตาเบี่ยงตัวหลบเฉียงไปด้านขวาแล้วม้วนตัวอีกครั้ง เจ้าเส้นเหล่านั้นเลยออกไปหน่อยก็หยุดแล้วเตรียมวกกลับมา การหันกลับไปเพื่อจัดการเส้นเหล่านั้นอาจจะทำให้เสียเวลาและทำให้การหลบหนีนั้นไม่เป็นผลก็ได้ เธอจึงหันออกตัววิ่งไปทางหน้าต่างของห้องอาหารแทน
...เจนนู ทำอะไรซักอย่าง... อลิสร้องขณะเร่งฝีเท้าสุดขีดไปยังหน้าต่างบานใหญ่เบื้องหน้า
...ใช้เข่า!!!... เจนนูร้องพร้อมกับยืดร่างของเขาส่วนล่างให้ไปคลุมเข่าขวาและบีบอัดให้มันแข็งราวกับหิน แล้วยืดส่วนที่เหลือของเขาออกมาเป็นแผ่นบางๆคุลมร่างอลิสสิตาให้ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพล้ง!!!!!
อลิสสิตาพุ่งออกไปสุดแรงด้วยเข่าขวาที่ทำลายกระจกหนาๆจนแตก และร่วงลงไปด้านล่างที่มีพุ่มไม้หนาๆรองรับก่อนจะถูกเจ้าเส้นแหลมๆนั้นถึงตัวเพียงนิดเดียว ร่างของอลิสสิตากลิ้งทะลุพุ่มไม้ออกมาสู่แผ่นหญ้าสีเขียวชอุ่มที่ลาดลงไปด้านล่างขณะที่ร่างของเจนนูเป็นตัวรับการกระแทกที่รุนแรงนั้นไว้ เมื่อแรงเหวี่ยงนั้นหมดลง อลิสสิตาก็พยายามดันตัวขึ้นแล้วหันไปมองอาคารภัตตาหารที่ตนเพิ่งหนีออกมา เห็นวิชิตกำลังยืนมองหาเธอไปทั่วอย่างโมโห อลิสสิตาค่อยๆเคลื่อนตนเองอย่างช้าๆเข้าไปยังร่มไม้ใกล้ตัวที่สุดเพื่อให้บดบังสายตาของวิชิต ก่อนถอนหายใจเบาๆ
“เฮ้อ!” อลิสสิตาเอนหลังตนเองไปพิงกับต้นไม้ที่เธอใช้เงาบดบังตัว
...เจนนู เมื่อกี้นายบอกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายนายหรอ...
...
อลิสสิตาถามไป แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับจาดชุดสีดำนั่น ราวกับเป็นแค่เสื้อธรรมดา
...เจนนู...
...
...เจนนู นายไปไหนน่ะ!!!...

จบตอนที 25 อ่านต่อ ตอนที่ 26 นะครับผม

จิตอิสระ โดย อิสระ
(ไปดูลินคอล์นมาครับ 3 รอบ ไม่ใช่เพราะชอบขนาดนั้น แต่เพราะไปกับกิ๊ก 3 คน เซ็งนิดๆ 555+ แต่ส่วนตัวผมว่าสนุกมากนะครับเรื่องนี้ ขวานมันเท่มาก)

19 พฤษภาคม, 2555

จิตอิสระ บทที่ 4: ซึมซับ ตอนที่ 24 โดย อิสระ

จิตอิสระ บทที่ 4: ซึมซับ ตอนที่ 24 โดย อิสระ

อลิสสิตา เชาวกรกุล ไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานแต่เช้า เพราะสมองเธอว้าวุ่นอยู่กับการ์ดคนสนิทที่หายหัวไปทั้งคืนและกลับมาเอาตอนสาย ซ้ำยังไม่มาให้เธอเห็นหน้าอีก ทำเอาเธอพลางคิดนู่นคิดนี่ไปเรื่อย จนบางครั้งเลขาส่วนตัวเอาเอกสารมาให้เซ็น เธอยังเหม่อลอยมองกระดาษตรงหน้ากว่า10นาทีกว่าจะมีสติเซ็นให้ อาการเช่นนี้เจนนูรับรู้ได้อย่างดี แต่เขาไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกไปจนอลิสสิตาต้องพูดออกมาเอง
...นี่เจนนู นายว่าเมื่อคืนพี่เอกไปไหน...
...ข้าไม่ทราบ แต่ดูเจ้าเป็นห่วงเป็นใยเสียจริง ไม่ทราบว่าในฐานะนายกับบ่าว หรือหนุ่มสาว...เจนนูตอบแล้วยอกย้อน ทำเอาอลิสสิตาสะอึกเล็กน้อย ก่อนตอบเบาๆในใจ
...ก็ แค่เป็นห่วงเขา เห็นว่าไม่มาทำงาน ไม่มีคนมาคุ้มครองรู้สึกไม่ปลอดภัย... นั่นสินะ เธอเองก็ไม่รู้ทำไมต้องกระวนกระวายด้วย ทั้งๆที่เธอตอบตนเองไปว่าเธอไม่รู้สึกอะไรกับนายเอกพันธ์ แต่ใจยังเป็นห่วงเขาอยู่ลึกๆ
...เดี๋ยวเขาพร้อมก็จะมารายงานตัวต่อเจ้าเองแม่หญิง แต่ข้าก็สามารถคุ้มครองเจ้าได้เช่นกันนะ... เจนนูหยอกล้อให้ชวนหัวพลางยืดร่างออกช้าๆให้หญิงสาวรู้สึกตัว ทำเอาอลิสสิตาจนลุกซู่ก่อนจะสะบัดตัวเบาๆ
...นายจะทำร้ายอลิสซะมากกว่าน่ะสิ อยู่นิ่งๆเลย อลิสจะเคลียร์งานเก่าของคุณพ่อ... อลิสสิตาตอบกลับแล้วก็หยิบแฟ้มรายงานเล่มหนาปึ๊ก3เล่มออกจากตะแกรงมาไว้ตรงหน้า ในขณะที่หน้าแดงกล่ำเพราะนึกถึงสิ่งที่ผ่านมาที่เจนนูทำกับเธอ ส่วนเจนนูก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรอย่างที่เขาพูด เพียงแต่ต้องการให้เธอไม่คิดมากในเรื่องของเอกพันธ์ แต่เขาเองกลับต้องคิดถึงบางอย่างที่เขาสัมผัสได้อย่างคุ้นเคยเมื่อเอกพันธ์ขับรถผ่านในตอนเช้า
...คลับคล้ายว่าข้าเคยพบจากที่ไหนสักแห่ง...
...หืม? อะไรหรอ?... อลิสถามเจนนูในใจ 
...อ่อ ไม่มีอะไร ข้าคิดไปเรื่อยเปื่อย...เจนนูตอบตะกุกตะกัก เขาลืมไปว่าเชื่อมจิตใจกับหญิงสาวคนนี้แล้ว จากนี้ไปคิดอะไรคงต้องระวังไม่ให้เผลอสื่อสารไปถึงเธอ
        อลิสสิตาเคลียร์งานเก่าของนายริชมอนด์ที่ค้างคาอยู่อย่างรวดเร็ว ไม่นานเธอก็เรียกเลขาส่วนตัวออกมาเพื่อนัดแจกแจงงานพร้อมเชิญหัวหน้าฝ่ายต่างๆเข้าพบที่ละคนเพื่อตรวจสอบและถามเกี่ยวกับระบบงานของฝ่ายต่างๆ จนพักเดียวก็ถึงเวลาเที่ยง อลิสสิตายังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานคุยกับเลขาส่วนตัว
“เอาตามนี้นะคะพี่วิ เดี๋ยวตอนบ่ายสองอลิสจะรอพบคุณชัยเพื่อคุยเรื่องการตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์ต่อ” อลิสพูดจบก็ยื่นเอกสารให้กับวิชุดา เลขาของเธอ ที่ยื่นมือมารับก่อนลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากห้องไป
พอวิชุดาออกจากห้องไป อลิสสิตาก็ยืดแขนทั้งคู่จนสุดแล้วบิดตัวพร้อมถอนหายใจออกมา เวลาผ่านไปรวดเร็วจนเที่ยงในขณะที่เธอง่วนอยู่กับงานจนลืมหิว จากนั้นอลิสสิตาก็ลุกขึ้นพร้อมเดินออกไปนอกห้องทำงานเพื่อไปหาอะไรกิน
...มื้อนี้เจ้าจะทานอะไร?... เจนนูเอ่ยปากถามหลังที่เงียบมานาน เพราะไม่ต้องการรบกวนสมาธิของเธอ
...นั่นสินะ กินอะไรดีละ... อลิสสิตาตอบอย่างอารมณ์ดีพลางนึกถึงอาหารไปเรื่อย ทันใดนั้นก็มีเสียงโวยวายจากด้านหน้าลิฟท์ที่อลิสสิตากำลังเดินไป พร้อมกับเสียงของวิชุดาที่ร้องห้าม
“คุณคะ ไม่ได้ค่ะ นี่เวลาพักเที่ยงของท่านประธานกรุณาติดต่อใหม่ตอนบ่าย” เสียงวิชุดาร้องห้ามใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อลิสสิตาเริ่มเป็นห่วงจึงรีบเดินไปยังต้นเสียงที่อยู่ตรงลิฟท์ซึ่งอยู่ตรงทางแยกด้านขวา
“คนตายเป็นสิบนี่คุณคิดว่าจะให้ผมรอรึไง” เสียงของผู้ชายดังกระโชกโฮกฮากพร้อมย่ำเท้าเสียงดัง ”นี่ อย่ามาจับผมสิ ผมตำรวจนะ โว้ย”
สิ้นเสียง พอดีกับที่อลิสสิตาเดินมาเห็นพอดี ร่างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำอาคารโดนเหวี่ยงไปกระแทกกับกำแพงข้างลิฟท์ ในขณะที่วิชุดาตกใจยืนค้างทำอะไรไม่ถูกที่เห็นชายในเสื้อยืดกางเกงยีนส์มีเฝือกที่ขาขวาเหวี่ยงชายร่างใหญ่ได้ง่ายดายราวกับเป็นเพียงของเล่น
“คุณต้องการมาพบอลิส ไม่เห็นจำเป็นต้องทำร้ายร่างกายคนอื่นนี่คะ” อลิสสิตาตวาดอย่างไม่เกรงกลัว ชายคนนั้นหันมาสบตาอลิสสิตาอย่างแข็งกร้าว เขาเป็นชายผิวเข้มหน้าตาคมแต่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนทั่วใบหน้า แถมยังมีเฝือกที่ขาขวา
...เจ้านี่ขาบาดเจ็บเพียงนี้ยังสามารถทำร้ายชายฉกรรจ์ได้ ระวังตัวไว้ด้วยแม่หญิง... เจนนูเตือนขณะที่ตนรู้สึกถึงกลิ่นแปลกๆที่มาจากตัวเขา
“ขอโทษด้วย” ชายคนนั้นตอบห้วน พลางมองซ้ายขวา วิชุดาสะดุ้งเมื่อถูกสบตาเข้าแวบเดียว แล้วค่อยๆถอยออกไปอย่างหวั่นๆ
“ผมชื่อกิตติ เป็นตำรวจ” ชายคนนั้นแนะนำตัวขณะมองวิชุดาราวกับจะฆ่าทิ้ง แล้วหันมาสบตากับอลิสสิตา “คุณคือลูกสาวคุณริชมอนด์ใช่มั้ย”
“อลิสสิตาค่ะ อลิสสิตา เชาวกรกุล” อลิสสิตาแนะนำตนเองพร้อมทำท่าเชื้อเชิญให้นั่ง แต่กิตติกลับปฎิเสธ
“ผมว่าผมไม่ใจเย็นขนาดจะนั่งได้หรอกครับ คุณกำลังจะไปไหน ผมไปด้วยดีกว่า ผมจะคุยกับคุณ”
“อลิสจะไปทานข้าวค่ะ ถ้าคุณต้องการอย่างนั้นก็ไปทานข้าวด้วยกันเลยมั้ยคะ?” อลิสสิตาเชื้อเชิญ กิตติพยักหน้ารับก่อนจะลงลิฟท์ไปด้วยกัน
...เอ่อ นี่เจ้ากล้าชวนชายที่ไม่รู้จักไปทานอาหารด้วยกันขนาดนี้เชียวรึ... เจนนูถามอย่างอึ้งๆขณะที่ยังอยู่ในลิฟท์ด้วยกันทั้งหมด
...ทำไมอลิสต้องกลัวล่ะ นายสัญญาจะปกป้องอลิสแทนพี่เอกไม่ใช่หรอ?... อลิสสิตาย้อน
...ข้าคิดว่าหากเกิดอะไรขึ้น ข้ากลัวเจ้านั่นจะบาดเจ็บมากกว่าเดิมซะเปล่า...
...เก่งจังนะนายเจนนู แน่จริงก็ปกป้องอลิสให้ได้อย่างที่พูดแล้วกัน...
...นี่เจ้า... เจนนูยัวะเล็กๆที่โดนหญิงสาวสวนกลับ ฝ่ายอลิสสิตาก็อมยิ้มจางๆจนกิตติหันมามองอย่างสงสัยเล็กน้อย แต่ก็ไม่พูดอะไร
...ไว้ทีข้าบ้างนะ... เจนนูฝากไว้ในใจพลางนึกถึงแผนจะสำเร็จโทษเธอในคืนนี้เล่นๆ 

        อลิสสิตามายังรถส่วนตัวและเชื้อเชิญให้กิตตินั่งไปด้วยก่อนพาไปยังร้านอาหารหรูด้านนอก พอมาถึงก็มีพนักงานออกมาต้อนรับถึงประตูรถ เธอเดินไปยังบันไดหินอ่อนปูพรมแดงและตามมาด้วยกิตติที่เดินเขยกขาเพราะเข้าเฝือกที่ขาขวา พอเดินผ่านประตูไม้สีน้ำตาลมันเลื่อมที่ประดับด้วยแก้วสีสันต่างๆเป็นรูปนามธรรมที่แสดงความเป็นตัวตนของยุคเรเนสซองส์ก็เข้าไปพบกับโถงใหญ่โอ่อ่า ที่เต็มไปด้วยโต๊ะอาหารหินอ่อนขนาดและสีสันต่างๆกัน ผู้คนที่อยู่ในนี้ต่างเป็นเหล่าผู้ดีมีอันจะกินทั้งสิ้น สวมเสื้อสูท ชุดผ้าไหมมีราคาที่ส่งให้ผู้สวมใส่ล้วนดูสง่างามไปหมด สร้างความแตกต่างให้พวกเขาราวกับอยู่คนละโลกเลยทีเดียว
        วันนี้อลิสสิตาแต่งตัวด้วยชุดทำงานธรรมดาที่เป็นแสื้อเชิ๊ตแขนยาวสีขาว ตรงคอเสื้อมีลูกไม้ตกแต่งมาเป็นริ้วสวยงาม และใส่เพียงกระโปรงทำงานสีดำยาวถึงเหนือหัวเข้า และกิตติที่ใส่เพียงเสื้อยืดสีเทาและกางเกงยีนส์พับข้างตามด้วยเฝือกสีขาวหม่นๆ เพียงแค่ก้าวเข้ามา สายตาของผู้คนทั้งหมดก็จ้องมายัง2คนนี้เป็นตาเดียว
“มองไรวะ ถอดสูทถอดเสื้อออกมาหน้าตาก็ไม่ต่างกูหรอก” กิตติกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
“ใจเย็นค่ะ เรามาคุยงานดีกว่า เชิญทางนี้” อลิสสิตากล่าวปรามเล็กน้อยพลางผายมือเชื้อเชิญให้เขานั่งเก้าอี้ที่อยู่ตรงหน้า กิตติรู้สึกอายเล็กน้อยที่เขาพูดอะไรดูไม่เข้าท่าจึงรีบนั่งลงอย่างรวดเร็ว
เมื่ออลิสสิตานั่งเรียบร้อยก็สั่งอาหารมา4รายการ ในขณะที่กิตติล้วงเอาเอกสารออกมาวางไว้บนโต๊ะ
“เชิญค่ะ” 
“ครับ ที่ผมต้องนัดเร่งด่วนเช่นนี้เพราะว่าผมต้องการพยานในเหตุการณ์”
“พยานในเหตุก... อะไรนะคะ?” อลิสสิตาถามด้วยความงุนงงมองหน้าที่มีรอยขีดข่วนของกิตติอย่างสงสัย
“เมื่อสามคืนก่อน คุณอลิสสิตาทำอะไรอยู่ที่ไหนครับ?”
“อลิส...ไปนั่งทานอาหารมื้อค่ำบนภัตตาคารลอยฟ้าค่ะ”
“คุณอยู่ที่นั่นกับใครบ้าง?”
“อลิสอยู่กับพ่อ คุณวิชิต และคุณภูชิตค่ะ”
“ครับ จากข่าว ผมทราบมาว่าเกิดเหตุการณ์วัตถุลึกลับเข้าชนที่ดาดฟ้าตึกนั้นซึ่งทำให้คุณริชมอนด์ต้องเสียชีวิตคาที่” กิตติเว้นวรรคแล้วหันมาสบตาหญิงสาว เห็นดวงตาเธอสั่นเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถึงนายริชมอนด์ก่อนจะอ่านต่อ “ส่วนคุณภูชิตและคุณวิชิตหายตัวไป...”
“ค่ะ อลิสทราบแล้วค่ะ และอลิสได้ให้การกับตำรวจที่สถานี่เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ครับผมทราบ คุณได้ให้การไว้ว่าคุณไม่รู้เรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะคุณหมดสติไป ก่อนที่จะปรากฏตัวอีกครั้งที่คฤหาสน์บ้านคุณเอง...”
“ค่ะ”
“แต่หลังจากนั้นอีกเพียงวันเดียว เราพบศพหญิงสาวและคนอื่นมากมายที่ดงสลัมใกล้จุดเกิดเหตุซึ่งสภาพศพพบว่าถูกทำร้ายด้วยสิ่งต่างๆแตกต่างกันไป แต่เป็นสถานที่ที่ใกล้กับจุดที่คุณหมดสติและหายตัวไปในคืนนั้น และทางเราได้พบหลักฐานเป็นเศษผ้าของชุดราตรีของคุณตกอยู่ที่กอหญ้าตรงข้ามกับจุดเกิดเหตุ” พูดจบกิตติก็วางซองพลาสติกใสที่มีเศษผ้าไหมสีฟ้าลงบนโต๊ะ
“ค่ะ แล้วหลักฐานไหนบ่งชี้คะว่าอลิสเป็นผู้ลงมือ”
“ผมไม่ได้จะกล่าวว่าคุณเป็นฆาตกรนะครับ แค่ขอให้คุณช่วยนึกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่หลังจากที่เกิดเหตุการณ์พุ่งชนนั้น ขนาดพื้นกระเบื้องยังแตกกระจายเกิดรอยไหม้เป็นทาง กระจกและสิ่งก่อสร้างพังแทบไม่มีชิ้นดี คนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็บาดเจ็บกันทั้งนั้นแต่คุณกลับไม่เป็นอะไรเลย”
        ทันใดนั้น เจนนูสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่แปลกปลอม
“อลิสบอกแล้วค่ะว่าอลิสจำไม่ได้ ถึงขั้นนี้อลิสว่าอลิสต้องขอดูบัตรพกของคุณแล้วค่ะ” อลิสกล่าวด้วยเสียงเรียบในขณะที่ดวงตาแสดงความไม่พอใจอยู่ลึกๆ
...แม่หญิง...เรียกอลิสสิตาในใจ เธอกลับไม่ตอบอะไรเขา
“เอ่อ บัตร” กิตติล้วงกระเป๋ากางเกงหาบัตร แต่เขาไม่ได้พกมันมาจึงเริ่มแสดงอาการกระวนกระวาย
“อย่าบอกนะคะว่าตำรวจมาสอบถามพยานเนี่ย ไม่จำเป็นต้องพกบัตร” อลิสสิตายิ้มอย่างมีชัย กิตติมองหน้าเธออย่างเจ็บแสบเหมือนโดนตอกกลับ ใจอยากจะค้านแต่ไม่มีอะไรจะสู้ได้
...แม่หญิง ฟ้งข้า... เจนนูเรียกเธออีกครั้งด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม
...เดี๋ยวก่อนนายเจนนู อลิสกำลังต้อนนายนี่ให้จนมุม... อลิสตอบด้วยเสียงยิ้มกริ่มในขณะที่ใบหน้าเธอไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมา
...ไม่ใช่เรื่องนี้อลิสสิตา ข้าหมายถึง..
“ถ้าไม่มีธุระอะไรต้องขอเชิญกลับด้วยนะคะ” อลิสสิตาปล่อยประโยคเด็ดออกไป “แล้วหากหิวก็ทานอาหารนี้ได้นะคะ” จากนั้นเธอก็เดินออกไปทิ้งให้กิตตินั่งอยู่ตรงนั้นด้วยความโกรธจัดที่ถูกหักหน้า โดยส่วนตัวแล้วอลิสสิตาไม่ได้มีนิสัยใจคอที่เลวร้ายขนาดนี้ แต่เธอไม่ชอบที่ถูกหาว่าไปทำร้ายผู้อื่นและยังจะต้อนเธอให้จนมุมเข้าไปอีก เธอเดินออกไปที่หน้าประตูโดยไม่ทันรู้ตัวว่ามีบางสิ่งกำลังพุ่งเข้าหาเธออย่างรวดเร็ว
...อลิสสิตา ระวัง!!!... สิ้นเสียงเจนนู ร่างของเขาก็ขยายตัวอย่างรวดเร็วฉีกกระชากเสื้อที่ใส่อยู่จนขาดกระจุยแล้วห่อหุ้มร่างของอลิสสิตาไว้จนกลายเป็นลูกบอลทรงกลม ไม่ทันไรก็โดนกระแทกปลิวไปด้านหลังชนโต๊ะอาหารนับสิบล้มกระจายไปทั่ว เหล่าผู้ดีที่กำลังนั่งทานอาหารโดยไม่ทันได้หันไปมองก็ปลิวกระเด็นออกจากที่นั่งแบบไม่ทันตั้งตัวเหมือนกับกิตติที่โดนกระแทกจากร่างของเจนนูจนไปชนกับเสาหินด้านข้าง 
พริบตาเดียวที่ร่างของอลิสปลอดภัยและหยุดนิ่ง เจนนูก็หดตัวลงอย่างรวดเร็วกลับมาเป็นชุดรัดรูปดังเดิม อลิสสิตาลุกขึ้นอย่างมึนงง สำรวจตนเองก็พบว่าอยู่ในชุดรัดรูปสีดำตั้งแต่แผงคอจนถึงหน้าขาอ่อน และไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆทั้งสิ้น
“หึหึ มีของดีเหมือนกันหรอครับ คุณหนู...” เสียงแหลมๆฟังดูน่ารังเกียจดังจากประตูที่ฉีกออก มีคราบเลือดไหลออกมาจากพื้นหินนั้น ปรากฏร่างสูงผอมของชายคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางแสงแดดที่ส่องเข้ามา
“ในที่สุดก็หาเจอ” ร่างนั้นเดินเข้ามาจนแสงไฟจากโคมส่องจนเห็นรูปลักษณ์ของเขา 
        ร่างกายที่ผอมสูงชะลูดซะจนกลบเอาความหนาของลำตัวออกไป ใบหน้าเรียวแหลมนั้นกำลังแสดงความปิติยินดีผ่ายรอยยิ้มที่ดูน่าสะพรึงกลัว ดวงตาเล็กกลมๆกำลังจ้องมองร่างหญิงสาวที่อยู่กลางซากไม้และสิ่งของที่กระจัดกระจาย นี่คือวิชิต ที่หายตัวไปจากสังคมมานานแสนนานและกลับมาพร้อมกับบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงในตัวเขา
...ข้าก็พยายามเตือนเจ้าแล้ว เจ้าไม่ฟัง คราวนี้ระวังตัวนะ... เจนนูพูดด้วยน้ำเสียงแข็ง
...คะ...ค่ะ... อลิสสิตาตอบขณะยังมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในขณะที่กิตติยันกายของตนเองขึ้นมาดูผู้บุกรุกแล้วล้วงเอาปืนพกที่เหน็บไว้กับตัวออกมา
“นายวิชิต... นายเป็นอะไรไป” อลิสสิตาร้องถามขณะค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆ
“กูน่ะหรอ  เหอะๆ” วิชิตแสยะยิ้มอย่างน่าเกลียด ใช้มือขวาลูบไล้ใบหน้าตนเองเบาๆ
“กูเป็นพระเจ้าไงเล่าอีสัด” วิชิตตะโกนเสียงดังแล้วสะบัดมือของเขาออกไปอย่างรวดเร็ว ปลายนิ้วของเขายืดออกอย่างรวดเร็วกลายเป็นเส้นยาวๆสีดำมากมายพุ่งเข้าหาหญิงสาวอย่างรวดเร็ว
วินาทีนั้นกิตติก็ประทับปืนและลั่นไก...
จบตอนที่ 24 อ่านต่อ 25 นะครับ
(ไปเที่ยวหัวหินมา หมดตูดเลยผมฮ่าๆ)

14 พฤษภาคม, 2555

จิตอิสระ บทที่ 4: ซึมซับ ตอนที่ 23 โดย อิสระ


จิตอิสระ บทที่ 4: ซึมซับ ตอนที่ 23 โดย อิสระ

---ณ บ้านพักของเอกพันธ์---


                เอกพันธ์ค่อยๆลืมตาอย่างช้าๆหลังจากเผลอหลับไปเพราะความอ่อนเพลียที่สะสมมาตั้งแต่เมื่อคืน เขารู้สึกได้ถึงน้ำหนักของร่างหญิงสาวที่กดทับเขาอยู่ เมื่อเงยศีรษะขึ้นมาดู ก็พบใบหน้างามสงบของจีเซลล่าที่นอนบนตัวเขา หายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ เส้นผมสีแดงน้ำตาลกระจายประปรายบนแผ่นอกของเขาส่องแสงสะท้อนเงาบางๆตัดกับหัวไหล่สีอ่อนที่พาสายตาของเขาไปยังแผ่นหลังเปลือยเปล่าทอดยาวจนถึงภูเขาก้อนกลมงอนสองลูกที่ตั้งอยู่เหนือบริเวณท่อนขาของเอกพันธ์

..เธอชื่ออะไรนะ จีเซลล่าหรอ?.. 


เอกพันธ์คิด ขณะที่เผลอลูบปอยผมด้วยมือขวาอย่างลืมตัว แล้วยังไล่ฝ่ามือของตนไปยังแก้มเรียบเนียนอย่างเพลิดเพลิน จนแสงจากหน้าปัดนาฬิกาข้อมือสะท้อนวูบวาบแยงตา ก็ตกใจรีบมองเข็มสั้นเข็มยาวที่แสดงเวลา11โมงครึ่ง

...ฉิบหาย นอนจนลืมเวลาเลยกู...

แล้วเขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ตรงต่อเวลา และลางานโดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า อย่างนี้คุณหนูอลิสต้องสงสัยเขาเป็นแน่ รึอาจจะไม่ เขาจะสำคัญอะไร ก็แค่คนที่ท่านริชมอนด์เก็บมาจากข้างถนน แม้จะเรียนจบปริญญาตรี ก็ยังคงเป็นคนคุ้มกันของคุณอลิสอยู่เท่านั้น เป็นคนที่เธอไม่จำเป็นต้องหันมาเหลียวแลแม้เพียงปลายหางตาด้วยซ้ำ...
เอกพันธ์ถอนหายใจอีกครั้งให้กับชีวิตของตนเอง สายตามองไปยังเพดานห้องของตนที่เป็นสีครีมอ่อน มีแสงสะท้อนจากบ่อปลาเล็กๆหน้าบ้านเป็นลายน้ำขยับไปมาบนเพดานดูมีชีวิตชีวา แล้วเขาก็วกมาคิดถึงร่างที่นอนสงบนิ่งบนตัวเขาอีก


...เดี๋ยวคงต้องรอให้แม่นี่ตื่นก่อน แล้วค่อยพาไปส่งที่ไหนก็ได้ไกลๆคฤหาสน์พร้อมกับเงินให้จำนวนหนึ่งให้พอไปไหนต่อได้ก็พอ...
...แต่ว่า...
...หนักไม่เบานะ คนนี้นี่ หน้าตาก็ไม่ใช่คนไทย ชื่อก็แปลก ลูกครึ่งป่าววะเนี่ย แต่ก็ไม่เบาเหมือนกันนะ...


                พอใจคิด ร่างกายก็ตอบสนองทันที เอกพันธ์อยากจะเพ่นกบาลตนเองที่เกิดความคิดขึ้นมาขณะที่ท่อนกายของเขากำลังยันตัวลุกขึ้นมาผงาดช้าๆราวกับมันตายแล้วเกิดใหม่ พอมันโตได้ที่ก็ตั้งตัวไปแนบกับร่องก้นของจีเซลล่าพอดี ท่อนเอ็นมันไปทาบกับร่องสวาทนิ่มๆนั้นทำให้เลือดในกายของเขาพลุ่งพล่านไปทั่วเลยทีเดียว

...อีกรอบคงไม่ว่ากันนะ จีเซลล่า...

                ราวกับร่างกายเธอตอบสนองได้โดยอัตโนมัติ สะโพกคอดเว้านั้นส่ายไปมาเพื่อให้กลีบสวาทได้เบียดเอ็นอุ่นๆได้ถนัดขึ้น จีเซลล่าส่งเสียงครางออกทั้งๆที่เธอยังหลับตาพริ้ม เอกพันธ์เห็นอากัปกริยานั้นถึงกับอดใจไม่ไหว ยกเอวตนขึ้น สอดมือทั้งสองข้างไปที่หน้าขาของหญิงสาวแล้วแอ่นเอวส่งท่อนเนื้อสอดเข้าไปในถ้ำสวาททันที

“อ๊า...” จีเซลล่าร้องครางเบาๆ กัดริมฝีปาก ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เธอยังคงไม่ลืมตา เอกพันธ์ไม่แน่ใจว่าเธอตื่นหรือรู้สึกตัวรึเปล่า เขาก็ไม่ได้สนใจนักเพราะความรู้สึกที่ถูกกล้ามเนื้อภายในช่องคลอดบีบรัดนั้น ทำให้ความคิดและสติของเขาเหลือน้อยเต็มทน

                เอกพันธ์กลั้นใจดันเสือน้อยของตนเข้าไปในช่องคลอดสุดลำจนกระทบผนังด้านใน จีเซลล่าก็ร้องผวาพลางเกร็งตัวไปทั้ง
ร่างกาย ขมิบบีบรัดท่อนเนื้อแน่นจนเอกพันธ์รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก เขาจึงค่อยๆผ่อนแรงถอนท่อนเนื้อออกจากร่องสวาทอย่างช้าๆพร้อมกับสูดปากครางด้วยความเสียว เพราะร่องนั้นบีบรัดเขาเป็นจังหวะถี่ๆรัวๆไม่หยุดหย่อน จนเอกพันธ์ทนไม่ไหว มือทั้งสองข้างที่จับหน้าขาเปลี่ยนมาขย้ำก้นอย่างแรงแล้วรั้งเข้ามาหาตัวส่งท่อนเนื้อเบียดตัวเข้ามาในร่องหลืบอย่างแรง

“โอ๊วว!!!” จีเซลล่าร้องอุทานเสียงหลงแล้วลืมตาจ้องหน้าเอกพันธ์อย่างตกใจ ใบหน้าขาวสวยนั้นแดงซ่านไปด้วยเลือดที่ไหลเวียนทั่วร่างกาย ทันใดนั้นสายตาสีฟ้าใสนั้นก็แข็งกร้าวราวกับมันเริ่มออกฤทธิ์ ยังไม่ทันที่เอกพันธ์จะถอนท่อนเนื้ออีกครั้ง จีเซลล่าก็ยันร่างเธอขึ้นอย่างรวดเร็ว ขยับขาทั้งสองเปลี่ยนมาเป็นนั่งยองโดยที่ยังคาบท่อนเนื้อไว้อยู่

                เมื่อได้ที่แล้ว จีเซลล่าสูดอากาศหายใจเข้าเต็มปอด จากนั้นเธอก็ตั้งหน้าตั้งตาขย่มท่อนเอ็นอย่างรวดเร็วราวกับเครื่องจักรกำลังไฟสูง เอกพันธ์ได้แต่นอนแอ่นรับความเสียวสุดยอดที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน เขากำลังตะลึงกับความร้อนแรงของสตรีผู้นี้ และยังรู้สึกเสียวที่ท่อนเอ็นไม่ได้หยุดหย่อนจนทนไม่ไหวร้องครางไปด้วย แต่ครั้งนี้เขายังคงทนได้นานกว่าที่ผ่านมาเพราะเสร็จสมไปแล้ว4ครั้งนับตั้งแต่เมื่อคืน ครั้งนี้แหละ เขาจะทำให้พยัคฆ์น้อยที่หงอถ้ำกลับมาผงาดเหนือสิ่งใดอีกครั้ง เอกพันธ์กัดฟันสู้กับลีลาร้อนแรงของจีเซลล่า เรื่องอะไรจะมาโชว์ไก่อ่อนในบ้านของตนเล่า เขาจับเอวคอดกิ่วของจีเซลล่าจนมั่นแล้วกระเด้งเอวสวนเข้าไปอย่างแรงจนร่างขาวอวบนั่นสะท้าน จีเซลล่าสะบัดผมไปมาพร้อมกับร้องครางด้วยความเสียวสุดๆขณะที่ร่องสวาทเธอขมิบถี่ๆผลิตน้ำเมือกออกมาชโลมท่อนเนื้อให้ลื่นเป็นมันทำให้ยิ่งเสียวไปมากกว่าเดิม สักพักเอกพันธ์ก็รู้สึกได้ถึงการขมิบอย่างรุนแรง จีเซลล่าก็เร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆจนหน้าขาของเอกพันธ์และขาอ่อนจีเซลล่ากระทบกันเกิดเสียงเป็นจังหวะ

“อ๊า~~~~” จีเซลล่าร้องกรี๊ดเสียงดังแหงนหน้าขึ้นแล้วเกร็งร่างกายอย่างแรงขมิบช่วงล่างหลายครั้ง ก่อนจะทิ้งตัวลงไปครั้งสุดท้ายแล้วลงไปซบกับร่างของเอกพันธ์

         เอกพันธ์ยิ้มอย่างมีชัยที่สามารถทำสาวเบื้องหน้าตนเสร็จไปได้ ขณะที่กลั้นใจไม่หลั่งน้ำกามแทบตาย เขานอนรอสักพักให้ร่องสวาทของเธอเริ่มคลายตัวลง จากนั้นก็พลิกร่างเหนื่อยหอบของจีเซลล่าให้อยู่ด้านล่าง ส่วนเขาช้อนขาขึ้นมาให้ข้อพับอยู่ตรงข้อศอกขณะที่เอามือยันพื้นไว้ที่ราวหน้าอกของจีเซลล่า ส่งผลให้ก้นของหญิงสาวลอยขึ้นจากพื้นพรม เอกพันธ์จัดแจงเสร็จก็โก่งเอวสาวท่อนเนื้อยาวๆ ก่อนอัดเข้าไปอย่างแรงและรวดเร็วจากนั้นก็เริ่มซอยอย่างเมามัน

“อ๊ะ อ๊ะ โอ๊ว เอ๊าะ ๆๆๆๆๆ” จีเซลล่าครางเสียงดังขณะหลับตาปี๋คิ้วขมวดส่ายหน้าไปมา นมทั้งสองก้อนกระเพื่อมขึ้นลงตามแรงอัดปลิ้นไปมาขณะที่กลีบแคมยู่ยับไปตามท่อนเนื้อที่ครูดเข้าออกอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้เอกพันธ์เห็นใบหน้าของเธอได้อย่างชัดเจน เขาก็นึกพึงพอใจในร่างงดงามนี้ ทุกส่วนของร่างกายเธอสามารถบันดาลอารมณ์ของเขาได้ไปทั้งทุกส่วนสัด จนเอกพันธ์เริ่มจะทนความเสียวไม่ไหวแล้ว ก็ใช้มือทั้งสองข้างคว้าหมับไปทั้เอวคอดกิ่วแล้วกระแทกอย่างรุนแรง

“อ๊า อ๊า อ๊า อ้า.. อ๊า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ โอ๊ว อ๊อวว เอ๊าวว “ จีเซลล่าครางลากเสียงยาวด้วยความเสียวและร่างของเธอก็กระตุกอีกครั้ง ร่องรักบีบท่อนเอ็นอย่างรุนแรงจนเอกพันธ์ทนต่อไปไม่ได้ ส่งท่อนเอ็นเข้าไปครั้งสุดท้ายจนสุดตัวแล้วระเบิดน้ำกามเข้าไปอย่างรุนแรง

“ซี๊ดดด....ฮ๊า.....” จีเซลล่าครางซี๊ดยาวขณะเอกพันธ์ทิ้งตัวลงไปทับจีเซลล่าแล้วกอดร่างเธอแน่น ฉีดน้ำกามเข้าไปอีกสองครั้ง ก่อนจะแน่นิ่งไป

...โอยยย   กูยอมเลย   ค่อยไปส่งเย็นนี้แล้วกัน...

เอกพันธ์คิดก่อนจะหลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย จีเซลล่ากอดร่างแข็งแกร่งที่ทับตนอย่างหลวมๆขณะที่เธอกำลังมองแผ่นหลังของเอกพันธ์ด้วยดวงตาสีฟ้าที่จางลง



จบตอนที่ 23 อ่านต่อ 24 นะครับ
(แต่งบทคู่นี้แล้วมันส์สะใจจริงๆ ยังกะกินพริกเผ็ดๆเข้าไป คุณว่ามั้ยครับ อิอิ)