28 กรกฎาคม, 2555

จิตอิสระ บทที่ 4: ซึมซับ ตอนที่ 26 โดย อิสระ

จิตอิสระ บทที่ 4: ซึมซับ ตอนที่ 26 โดย อิสระ

เจนนูไม่รับรู้สึกเสียแล้ว! ด้วยเพราะการที่ต้องใช้จิตและพลังงานเป็นจำนวนมากเพื่อปรับสภาพร่างกายตนที่ยังไม่สมบูรณ์แบบมาใช้ป้องกันตัวและต่อสู้ ทำให้เขาต้องหมดสติไป แต่ครั้งสุดท้ายที่เขาพยายามทำได้ก็เพียงยืดร่างกายกลับมาคลุมร่างอลิสสิตาให้เหมือนชุดธรรมดากันอุจาดเท่านั้น
 หลัง จากอลิสสิตาพยายามเรียกเจนนูหลายครั้งแต่ไม่มีเสียงตอบกลับหรือการขยับร่าง กายใดๆทั้งสิ้น เธอจึงลุกขึ้นสำรวจตนเอง พบว่าชุดของเธอทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเสื้อ กระโปรง เข็มขัด แม้แต่รองเท้าส้นสูงก็ไม่เหลืออยู่เลย มีเพียงต่างหูเม็ดกลมเล็กๆเท่านั้นที่เป็นเครื่องประดับของเธอ นอกนั้นเป็นร่างกายของเจนนูที่ครอบคลุมเธอตั้งแต่ส่วนแผงคอเกาะบริเวณหน้าอก ของเธอจนถึงหน้าขาอ่อนเป็นสีดำด้าน ราวกับไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ทั้งๆที่ปกติควรมีสีดำมันเงาตลอดเวลา เธอคิดว่าบางทีเจนนูอาจจะสลบไปก็ได้เพราะเขาปกป้องเธอจากการกลิ้งลงจากที่ สูง
                อลิสสิตาสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบกาย พบว่าเธอกำลังยืนอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่เพียงต้นเดียวด้านหน้าแถวต้นกกสูงเรียวเป็นทุ่ง มันคือที่รกร้างที่ไม่สามารถก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางธุรกิจใดๆให้กับเจ้าของที่ดิน ด้วยเพราะมันตั้งอยู่หลังตึกสูงใหญ่ที่ปิดทางเข้าออกรถยนต์ สัญจรได้เพียงทางเท้า ไหนจะติดคลองเล็กๆอีก ใครเล่าจะเอาที่ดินนี้มาทำกิน อลิสสิตา ตัดสินใจเดินแหวกดงต้นกกไป เพราะมันเป็นทางเดียวที่จะหนีจากวิชิต ชายหนุ่มผู้มีสิ่งผิดปกติกับร่างกายที่น่าเกลียดน่ากลัว มือขวาของเขาสามารถยืดออก ขยายใหญ่ ทำร้าย สร้างความเสียหายต่อสิ่งใดๆก็ตามได้ตามใจชอบ ซ้ำยังรวดเร็วราวกับลูกธนูเสียอีก โชคดีแค่ไหนที่เจนนูสามารถช่วยเธอได้
                ดงต้นกกที่เธอกำลังเดินผ่าน แต่ก่อนเคยเป็นทุ่งนาที่เขียวสดงดงาม จนเมื่อนายทุนยักษ์ใหญ่คิดสร้างภัตตาคารหรูหราปิดทางเข้าออก มันทำให้การทำนาไร่เป็นไปได้ลำบาก จนสุดท้ายต้องปล่อยรกร้างไป เหลือแต่เศษฟางที่โผล่ตามพื้นเป็นร่องรอยว่าที่แห่งนี้เคยเป็นความหวังอันสดใสมาก่อน ซึ่งนั้นกลายเป็นการสร้างความลำบากให้อลิสสิตาในการเดินเข้าไป เพราะเธอไม่มีรองเท้า อลิสสิตาจึงต้องค่อยเดินและมองตรงพื้นที่ยืนอยู่ เพื่อไม่ให้ตนเองเหยียบเศษไม้ เปลือกหอย หรืออะไรก็ตามที่จะบาดฝ่าเท้าเล็กๆของเธอได้
                ครึ่งชั่วโมงผ่านไป แสงแดดยามบ่ายส่องทะลุใบสีเขียวซีดๆของต้นกก อลิสสิตายังคงเดินต่อไปอย่างช้าๆ เธอได้ยินเสียงหวอดังแว่วๆมาแต่ไกลๆ เงยหน้ามามองเบื้องหน้าก็พบแต่ท้องฟ้าสีสดแต่ไกลๆโดยมีดงใบกกบังรกหูรกตา คิดจะหันไปมองด้านหลังก็คงไร้ผล เพราะคงมีแต่ทางที่เธอผ่านที่มีรอยเท้าเล็กๆย่ำบนพื้นแฉะๆกับใบกกที่รีบสุม มาปิดทางที่ผ่านมาราวกับไม่ต้องการให้เธอกลับไปอีก
                อลิสสิตา เชาวกรกุล เริ่มเหนื่อยล้ากับการเดินอยู่ในที่แบบนี้ อากาศรอบข้างนั้นอบอ้าวและชื้นแฉะ แมลงเล็กๆที่เกาะตามใบกกโดดไปมา บางครั้งก็เกาะร่างเธอจนต้องปัดออกด้วยความรำคาญ ใบหน้าเธอตอนนี้ชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อที่ไหลมาโทรมแก้มสีแดงจัดเพราะโดนแดด ริมฝีปากเธอเริ่มซีดเพราะอาการเหนื่อยและขาดน้ำ เธอไม่ได้ออกกำลังกายมาเป็นปีๆแล้วหลังจากที่เริ่มตั้งใจกับกิจการของพ่อตนเอง เธอคิดถึงสอง-สามวันที่เพิ่งผ่านมา หลายๆสิ่งมันเปลี่ยนไปมากมาย จนเธอเริ่มจะปรับตัวไม่ทันเสียแล้ว ทั้งๆที่ใจเธอครั้งแรกต้องการการเปลี่ยนแปลงแบบหักเหสุดๆจากวิถีชีวิตประจำวัน แต่ตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกอยากให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม อยากให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับไปเริ่มใหม่ถึงตอนที่เธอกำลังนั่งทานอาหารอยู่กับ ริชมอนต์ แซมเมอร์สัน ผู้เป็นพ่อ เจ้าสัวภูชิต และนายวิชิตที่ยังเป็นคนปกติอยู่ อยากให้กลับไปอยู่ในคืนนั้น ก่อนที่เธอจะลุกออกจากที่นั่งนั่นไป...
ทันใดนั้น อลิสสิตาก็ละทิ้งดงต้นกก ละทิ้งแสงแดดที่แผดเผา ละทิ้งตั๊กแตนที่เกาะแขน ละทิ้งเปลือกหอยที่บาดฝ่าเท้าไป แล้วดิ่งตนลงสู่อาหารมื้อค่ำอันแสนหรูหรา...

“...” ความรู้สึกของแอร์เย็นๆมากระทบแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเธอ อลิสสิตาได้ยินเสียงแว่วของชายชราที่คุ้นหูจากด้านซ้าย แล้วทุกสิ่งในคลองสายตาเธอก็เลื่อนกลับมาอย่างรวดเร็ว
อ-ลิ-ส-สิ-ต-าเสียงชายชราย้ำอีกครั้ง เธอได้ยินมันชัดเจนแล้วเสียงดนตรี เสียงอากาศ เสียงของช้อนเงินกระทบกับจานเซรามิกก็ตามมาอย่างรวดเร็ว
อลิสสิตา!!
คะ?? คะ??” อลิสสิตาหันขวับไปตามเสียง ดวงตาเธอกระพริบถี่ๆเพราะปรับกระแสการรับรู้ไม่ทัน หันกลับไปเห็นชายชราที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี ริชมอนต์ แซมเมอร์สัน พ่อของเธอที่มองด้วยดวงตาสีฟ้าอ่อนฉายแววสงสัยระคนประหลาดใจ เพ่งพินิจมองเธอราวกับพยายามอ่านจิตใจ
พ่อถามว่า ลูกจะทานอะไรอีกมั้ย?”
อ่อ...ค่ะ...ไม่ทานค่ะเธอตอบอย่างรวดเร็วแล้วหันไปมองรอบข้าง เจ้าสัวภูชิตกำลังใช้ส้อมตักคัสตาร์ดชิ้นใหญ่เข้าปาก นายวิชิตยังคงมองเธอด้วยสายตากะลิ้มกะเหลี่ยไม่วางวาย เสียงเครื่องสีและเครื่องทองเหลืองดังแว่วจากด้านหลังของเธอ อากาศเย็นๆ จากแอร์ยังคงตกใส่แผ่นหลังของเธออย่างต่อเนื่อง อลิสสิตาก้มลงมามองตนเองในชุดผ้าไหมสีฟ้าเกาะอกสวยงาม มีลายกระวัตเป็นรูปทรงดอกไม้สวยงาม
                เธอยังคงอยู่ในร้านอาหารสวยหรูที่ใช้นัดพบดูตัวใจกลางเมืองกรุงเทพฯ และเพิ่งเสร็จสิ้นจากการรับประทานอาหาร นายริชมอนต์กวักนิ้วเรียกเด็กเสิร์ฟให้มาเช๊คบิลหลังจากเช็ดปากเรียบร้อย ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ....
....เป็นปกติทุกอย่างจริงๆ...
                อลิสสิตาเดินตามพ่อของเธอลงมาชั้นล่าง ยกมือไหว้ลาเจ้าสัวและนายวิชิต และเดินขึ้นรถไป เธอเดินอ้อมรถไปอีกด้านหนึ่งเพื่อให้พ่อของเธอได้นั่งด้านที่ติดกับทางเดิน นายเอกพันธ์เดินมาเปิดประตูให้ นายเอกพันธ์ก็ยังเป็นนายเอกพันธ์อยู่เช่นเดิมที่ยังตามติดเธอไม่หนีไปไหน เมื่อทั้งหมดขึ้นมาบนรถเรียบร้อย สารถีก็เหยียบคันเร่งส่งรถยูโรปคันงามออกไปยังถนนใหญ่
“อลิสลูก...” จู่ๆนายริชมอนต์ก็เอ่ยขึ้นมาห้วนๆ
“ค..คะพ่อ” อลิสสิตาหันไปมองบิดาตนเองด้วยความงวยงง นายริชมอนต์ซึ่งกำลังมองไปยังถนนเบื้องหน้าด้วยสายตาเลื่อนลอย ใบหน้าขาวนั้นถูกแต้มด้วยเม็ดเลือดสีแดงที่ผุดขึ้นมาด้วยฤทธิ์ไวน์นั้นโดนแสงไฟสีอำพันสาดส่องจับใบหน้าเป็นระยะๆ ปรากฏให้เห็นร่องรอยแห่งกาลเวลาที่พรากเอาความเต่งตึงกระชับของชายผู้นี้ไป แต่ไม่อาจพรากดวงตาที่แฉวแววความสดใสของชีวิตเขาไปได้
“จะเป็นอะไรมั้ย ถ้าพ่อขอให้ลูกหมั้นกับ...”
“ไม่ค่ะพ่อ!!!” อลิสสิตารีบชิงปฎิเสธก่อน เธอรู้ว่าพ่อของเธอจะต้องบังคับให้เธอหมั้นกับวิชิตเป็นแน่แท้
“...พ่อยังพูดไม่จบเลย” ริชมอนต์พูดเรียบๆ ไม่แสดงอาการใดๆ “ ตอนนี้พ่อก็จะ70ปีแล้ว...กิจการของเราก็กำลังเป็นไปได้ดี การที่ลูกจะมีคู่ชีวิตเพื่อก้าวเดินต่อไปข้างหน้าก็ควรอยู่ไม่ใช่หรือ?...” อลิสสิตารับฟังคำพูดของพ่อเธอขณะก้มหน้าลงไม่พูดอะไร
“เมื่อเย็นที่ผ่านมานี่พ่อไม่ได้ให้ลูกมานัดดูตัววิชิตหรอก พ่อแค่ต้องการให้ลูกพบอีกคนนึง”
...แผนซ้อนแผนหรอ ยังไงเราก็ยังรับไม่ได้อยู่ดี จะเอาใครที่ไหนไม่รู้มานอนเตียงเดียวกัน... เธอคิดพลางแอบถอนหายใจเบาๆ
“คนๆนี้พ่อเพิ่งพบได้ไม่นาน ยังไม่ทันจะได้คุยด้วยซักคำ แต่พ่อเชื่อใจเขา” อลิสสิตาหันมามองพ่อเธอทันทีด้วยความตกใจ ไม่มีทางที่นายริชมอนต์ แซมเมอร์สันจะหลุดคำพูดที่ไร้กระบวนการไตร่ตรองอันละเอียดยิบออกมาได้เด็ดขาด ราวกับประโยคนี้เป็นเรื่องไร้สาระทันที ในขณะที่ริชมอนต์พูดนั้น เขาก็ยังมองไปยังถนนด้านหน้าอยู่ ทั้งรถตกอยู่ในความเงียบงัน เสียงเพลงคลาสิกในรถที่นายริชมอนต์ชอบฟังก็เหมือนจะละลายหายไปในห้วงเวลาที่หยุดนิ่ง
“พ่อ จะ แนะ นำ ให้ ลูก รู้ จัก กับ...” ริมฝีปากขยับขึ้นลงตามการออกเสียงอย่างช้าๆ หัวใจอลิสสิตาเต้นเป็นจังหวะดังชัดเจนราวกับอยู่ข้างๆหู นายริชมอนต์ค่อยๆหันมาเผชิญหน้าอลิสสิตาอย่างช้าๆ ริมฝีปากเผยอ ออกเห็นลิ้นที่ดุนเพดานปากผ่านไรฟันเพื่อออกเสียงให้ชัดเจน
“น-า-ย เ-จ-น” เสียงที่เกิดจากกระบวนการกลั่นกรองของร่างกายแล่นผ่านอากาศกระทบเข้าโสตประสาทของอลิสสิตาอย่างช้าๆ และชัดเจน อลิสสิตาได้ยินพยางค์แรกเข้ากระทบประสาทการรับรู้ตนเองด้วยความรู้สึกราวกับถูกถาโถมด้วยความกดดันมหาศาลเข้าทั้งตัว แล้วฉับพลัน ใบหน้าขาวสะอาดมีรอยเหี่ยวย่นของริชมอนต์ก็ค่อยๆเกิดความเปลี่ยนแปลง ใบหน้านั้นหมองคล้ำลงเกิดรอยหมุนตรงกลางใบหน้าแล้วบิดหมุนบรรยากาศในรถทั้งหมดทั้งมวลให้กลายเป็นสีดำ ฉับพลันร่างกายเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นรอบกาย รู้สึกถึงความอ่อนนุ่มที่ละเลียดไปมาบนแผ่นหลัง เสียงครวญครางของบางสิ่งที่ฟังดูคุ้นหูเมื่อยามเธอยังเด็กเคยวิ่งเล่นตามทุ่งหญ้า อลิสสิตารู้สึกได้ว่าดวงตาเธอนั้นชุ่มฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำเย็นๆที่เอ่อล้นขึ้นมา แล้วริมฝีกปากเธอก็เผยอออก สูดอากาศอุ่นพิลึกเข้าปอดอย่างรวดเร็ว
แล้วเธอก็สำลัก....

“ฟื้นเสียที แม่หญิง...” เสียงคุ้นหูดังออกมาจากด้านหน้าของเธอ เสียงที่เธอได้ยินมาตลอดเวลาที่เกิดเหตุการณ์ประหลาด เสียงที่ฟังดูอาจจะมีสำเนียงการพูดที่แปลกพิลึก แต่เมื่อได้ยินครั้งไหนก็สามารถทำให้รู้สึกอบอุ่นได้ มันไม่ได้เกิดจากจิตใจของเธอ แต่มันมีต้นกำเนิดออกจากภายนอก มันอยู่เบื้องหน้าห่างแค่ช่องว่างของอากาศ
แล้วอลิสสิตาก็ลืมตาขึ้นมา
ด้วยหยาดน้ำตาที่หลั่งรินออกมาทำให้สายตาเธอพร่ามัวและเบลอจนมองไม่ชัด ประกอบกับแสงยามค่ำคืนที่ไม่สามรถมองได้อย่างแช่มชัด เธอเห็นโครงหน้าคมเรียวในความมืดมัวนั้น เส้นผมเล็กๆละเอียดปรากฏรอบศีรษะนั้นกำลังปลิวไสวตามสายลมเฉื่อยๆที่พาความหนาวเย็นจากทิศเหนือ ต้นคอและช่วงไหล่เปลือยเปล่ากำลังสะท้อนแสงไฟอันริบหรี่จากแดนไกลทำให้เธอรู้ว่าร่างนั้นไม่ได้สวมอาภรณ์ใดๆทั้งสิ้น และกำลังอยู่เหนือตัวเธอ
...ใคร???....

จบตอนที่ 26 อ่านต่อ ตอนที่ 27 นะครับ
(สวัสดีวันอาทิตย์ที่สดใสครับ ขอให้มีความสุขในวันหยุดนะครับ )

อิสระ


20 กรกฎาคม, 2555

จิตอิสระ บทที่ 4: ซึมซับ ตอนที่ 25 โดย อิสระ


จิตอิสระ บทที่ 4: ซึมซับ ตอนที่ 25 โดย อิสระ

ด้วยความชำนาญในการยิงปืนสั้นของกิตติที่ผ่านการฝึกฝนและประสบการณ์อันโชกโชน ไม่มีปัญหาหรืออุปสรรคใดๆที่จะขัดขวางความแม่นยำดุจจับวางของเขาในวินาทีนั้น ลูกกระสุนระเบิดออกจากลำกล้องโลหะพุ่งเข้าสู่ช่วงแขนของวิชิตอย่างแม่นยำ เจาะเข้าฝังกับกล้ามเนื้อแขนช่วงบนของวิชิตจนทำให้มือที่สะบัดออกไปหมายจะทำร้ายอลิสสิตานั้นเบี่ยงเบนวิถีออกไปด้านข้างๆแทน ทำให้เจ้านิ้วที่ยืดออกไปเหล่านั้นพุ่งออกไปเจาะทะลุผนังภัตตาคารจนกลายเป็นรูโหว่แทน
วินาทีนั้นจากผู้คนที่มากมายซึ่งกำลังมึนงงกับเหตุการณ์ถึงกับแตกตื่นวิ่งหนีหาทางออกกันอย่างวุ่นวาย พริบตาเดียวคนเหล่านั้นก็หายไปจากตัวห้องอาหารราวกับเม็ดทรายไหลออกจากภาชนะอย่างไรอย่างนั้น
“เหี้ยอะไรของมึงวะ กูอุตส่าห์ปล่อยมึงไปแล้ว ยังจะอยากตายอีกใช่มะ” วิชิตเปิดฉากหันมาหาตำรวจที่ยิงแขนตนเองอย่างโมโหขณะเอามืออีกข้างมากุมรอยแผลที่เกิดจากกระสุนที่แขนขวาตน ก่อน ที่จะสั่งให้นิ้วมือของตนเองหดกลับเข้ามา ยังไม่วายจะลากเอาโต๊ะหินอ่อนมาด้วย กิตติที่กำลังจะลุกขึ้นมายืนพอดีก็ต้องปลิวออกไปอย่างแรงเพราะถูกโต๊ะกลมๆกระแทกเข้าอย่างจัง จนไปติดผนังภัตตาคารอีกด้านก่อนจะร่วงลงไปกับพื้นด้วยร่างกายที่ไร้สติสัมปชัญญะ
...ความรู้สึกข้าบอกว่านั่นเคยเป็นส่วนหนึ่งของตัวข้ามาก่อน... เจนนูบอกหลังจากพินิจพิเคราะห์เจ้าสิ่งที่เป็นเส้นยาวราวกับแส้ของวิชิตที่ยืดออกมาจากส่วนที่เป็นมือขวาของเขา
...แปลว่าอะไร??? นายเป็นคนแบ่งให้กับเขาหรอ?....อลิสถามกลับในใจ
...เปล่าเลย ข้าก็ยังไม่เข้าใจเช่นกัน    แต่ถึงอย่างไร ข้าจะปกป้องเจ้าเอง อย่าห่วง...
...อ่า... อลิสสิตารู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าเจนนูจะปกป้องเธอได้มากแค่ไหน

“อย่ามาเสียเวลากันดีกว่า กูพูดแบบตรงๆนะ มึงต้องมาเป็นเมียกูอีอลิส กูจะได้มีตังใช้จบๆไป” วิชิตตะคอกพร้อมเดินเข้ามาหา มือขวาของเขาที่กลับมาเป็นปกตินั้นพุ่งเข้าไปหาอลิสสิตาที่อย่เบื้องหน้าและขยายออกเป็นเส้นกลมเรียว 5 เส้นหมายจะคว้าร่างของเธอไว้ เจนนูซึ่งเตรียมตัวพร้อมอยู่แล้วก็เกร็งร่างของตนและยืดอวัยวะออกให้เป็นเส้นเล็กๆมากมายทั่วร่างราวกับหนามเม่น ขณะที่อลิสสิตาตกใจก้มลงต่ำหันหลังหนี
                นั่นมีผลให้เจ้าเส้นที่ยืดออกไปเหล่านั้นโดนหนามเสียบทะลุในขณะที่มันพยายามจะจับตัวของอลิสสิตาไว้ วิชิตร้องอุทานเสียงหลงในขณะที่ยังกัดฟันทนจับร่างของอลิสสิตาไว้ แล้วยกร่างของเธอขึ้นก่อนขว้างออกไปไกลตัว
“อีเหี้ย มึงทำกูเจ็บเรอะ!!!” วิชิตสบถด้วยใบหน้าแดงกล่ำยืดมือกลับอย่างรวดเร็ว ก้มลงมามองมือของตนที่เป็นรูเล็กๆมากมาย วิชิตกำหนดสติของตนแล้วบังคับให้มันหายเป็นปกติ พักเดียวมือของเขาก็กลับมาเป็นดังเดิม แต่กลับทำให้วิชิตรู้สึกกระหายมากขึ้น เขาวิ่งเข้าหาอลิสสิตาที่กำลังลุกขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับหมัดแน่น
...เจ้านั้นเข้ามาอีกครั้ง แม่หญิงระวัง... เจนนูรีบร้องเตือนขณะที่ร่างของตนหดกลับมาเป็นปกติอีกครั้งแล้วกำลังขยายตัวเพื่อป้องกัน อลิสหันมามองวิชิตที่กำลังพุ่งเข้ามาหาแล้วกะจังหวะ สมัยเธอยังเรียนอยู่ เธอเคยเรียนวิชาป้องกันตัวมาบ้าง และด้วยส่วนตัวเธอชอบผจญภัยอยู่แล้ว เมื่อถึงจุดที่พอเหมาะพอดีเธอก็รีบถีบตัวเองโดดหลบออกไปด้านข้างจนเกือบโดนมือของวิชิตที่พุ่งขยายออกมาหมายจะทำร้ายอย่างฉิวเฉียด พริบตานั้นเจนนูซึ่งอ่านความคิดเธอออกก็ยืดร่างของเขาออกเป็นก้อนกลมเข้าอัดกระแทกร่างวิชิตที่ไม่ทันตั้งตัวได้ทันจนปลิวออกไป
อลิสสิตาม้วนตัวลงกับพื้นเพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากแรงกระแทกแล้วกลับมาลุกขึ้นอย่างว่องไว หันไปมองร่างของวิชิตที่ลงไปนอนข้างเสาหินอย่างระมัดระวัง
...แม่หญิง หนีไปก่อนเถอะ... เจนนูร้องออกความเห็น อลิสสิตาก็ไม่คิดแย้ง เพราะนี่คือโอกาสอันแสนสั้นที่จะหนีให้พ้นพอที่จะไปตั้งหลักได้ อลิสสิตาหันหลังออกวิ่ง เธอก็ไปยังประตูทางออก กระโดดข้ามโต๊ะเก้าอี้และเฟอร์นิเจอร์ต่างๆที่วางล้มระเนระนาด
“จะไปไหนวะแก”  เสียงร้องดังออกมาจากด้านหลัง อลิสสิตาหันกลับไปมองเห็นเส้นปลายแหลมมากมายยืดออกมาจากมือของวิชิตที่นอนอยู่ตรงนั้น อลิสสิตาเบี่ยงตัวหลบเฉียงไปด้านขวาแล้วม้วนตัวอีกครั้ง เจ้าเส้นเหล่านั้นเลยออกไปหน่อยก็หยุดแล้วเตรียมวกกลับมา การหันกลับไปเพื่อจัดการเส้นเหล่านั้นอาจจะทำให้เสียเวลาและทำให้การหลบหนีนั้นไม่เป็นผลก็ได้ เธอจึงหันออกตัววิ่งไปทางหน้าต่างของห้องอาหารแทน
...เจนนู ทำอะไรซักอย่าง... อลิสร้องขณะเร่งฝีเท้าสุดขีดไปยังหน้าต่างบานใหญ่เบื้องหน้า
...ใช้เข่า!!!... เจนนูร้องพร้อมกับยืดร่างของเขาส่วนล่างให้ไปคลุมเข่าขวาและบีบอัดให้มันแข็งราวกับหิน แล้วยืดส่วนที่เหลือของเขาออกมาเป็นแผ่นบางๆคุลมร่างอลิสสิตาให้ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพล้ง!!!!!
อลิสสิตาพุ่งออกไปสุดแรงด้วยเข่าขวาที่ทำลายกระจกหนาๆจนแตก และร่วงลงไปด้านล่างที่มีพุ่มไม้หนาๆรองรับก่อนจะถูกเจ้าเส้นแหลมๆนั้นถึงตัวเพียงนิดเดียว ร่างของอลิสสิตากลิ้งทะลุพุ่มไม้ออกมาสู่แผ่นหญ้าสีเขียวชอุ่มที่ลาดลงไปด้านล่างขณะที่ร่างของเจนนูเป็นตัวรับการกระแทกที่รุนแรงนั้นไว้ เมื่อแรงเหวี่ยงนั้นหมดลง อลิสสิตาก็พยายามดันตัวขึ้นแล้วหันไปมองอาคารภัตตาหารที่ตนเพิ่งหนีออกมา เห็นวิชิตกำลังยืนมองหาเธอไปทั่วอย่างโมโห อลิสสิตาค่อยๆเคลื่อนตนเองอย่างช้าๆเข้าไปยังร่มไม้ใกล้ตัวที่สุดเพื่อให้บดบังสายตาของวิชิต ก่อนถอนหายใจเบาๆ
“เฮ้อ!” อลิสสิตาเอนหลังตนเองไปพิงกับต้นไม้ที่เธอใช้เงาบดบังตัว
...เจนนู เมื่อกี้นายบอกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายนายหรอ...
...
อลิสสิตาถามไป แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับจาดชุดสีดำนั่น ราวกับเป็นแค่เสื้อธรรมดา
...เจนนู...
...
...เจนนู นายไปไหนน่ะ!!!...

จบตอนที 25 อ่านต่อ ตอนที่ 26 นะครับผม

จิตอิสระ โดย อิสระ
(ไปดูลินคอล์นมาครับ 3 รอบ ไม่ใช่เพราะชอบขนาดนั้น แต่เพราะไปกับกิ๊ก 3 คน เซ็งนิดๆ 555+ แต่ส่วนตัวผมว่าสนุกมากนะครับเรื่องนี้ ขวานมันเท่มาก)