19 พฤษภาคม, 2555

จิตอิสระ บทที่ 4: ซึมซับ ตอนที่ 24 โดย อิสระ

จิตอิสระ บทที่ 4: ซึมซับ ตอนที่ 24 โดย อิสระ

อลิสสิตา เชาวกรกุล ไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานแต่เช้า เพราะสมองเธอว้าวุ่นอยู่กับการ์ดคนสนิทที่หายหัวไปทั้งคืนและกลับมาเอาตอนสาย ซ้ำยังไม่มาให้เธอเห็นหน้าอีก ทำเอาเธอพลางคิดนู่นคิดนี่ไปเรื่อย จนบางครั้งเลขาส่วนตัวเอาเอกสารมาให้เซ็น เธอยังเหม่อลอยมองกระดาษตรงหน้ากว่า10นาทีกว่าจะมีสติเซ็นให้ อาการเช่นนี้เจนนูรับรู้ได้อย่างดี แต่เขาไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกไปจนอลิสสิตาต้องพูดออกมาเอง
...นี่เจนนู นายว่าเมื่อคืนพี่เอกไปไหน...
...ข้าไม่ทราบ แต่ดูเจ้าเป็นห่วงเป็นใยเสียจริง ไม่ทราบว่าในฐานะนายกับบ่าว หรือหนุ่มสาว...เจนนูตอบแล้วยอกย้อน ทำเอาอลิสสิตาสะอึกเล็กน้อย ก่อนตอบเบาๆในใจ
...ก็ แค่เป็นห่วงเขา เห็นว่าไม่มาทำงาน ไม่มีคนมาคุ้มครองรู้สึกไม่ปลอดภัย... นั่นสินะ เธอเองก็ไม่รู้ทำไมต้องกระวนกระวายด้วย ทั้งๆที่เธอตอบตนเองไปว่าเธอไม่รู้สึกอะไรกับนายเอกพันธ์ แต่ใจยังเป็นห่วงเขาอยู่ลึกๆ
...เดี๋ยวเขาพร้อมก็จะมารายงานตัวต่อเจ้าเองแม่หญิง แต่ข้าก็สามารถคุ้มครองเจ้าได้เช่นกันนะ... เจนนูหยอกล้อให้ชวนหัวพลางยืดร่างออกช้าๆให้หญิงสาวรู้สึกตัว ทำเอาอลิสสิตาจนลุกซู่ก่อนจะสะบัดตัวเบาๆ
...นายจะทำร้ายอลิสซะมากกว่าน่ะสิ อยู่นิ่งๆเลย อลิสจะเคลียร์งานเก่าของคุณพ่อ... อลิสสิตาตอบกลับแล้วก็หยิบแฟ้มรายงานเล่มหนาปึ๊ก3เล่มออกจากตะแกรงมาไว้ตรงหน้า ในขณะที่หน้าแดงกล่ำเพราะนึกถึงสิ่งที่ผ่านมาที่เจนนูทำกับเธอ ส่วนเจนนูก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรอย่างที่เขาพูด เพียงแต่ต้องการให้เธอไม่คิดมากในเรื่องของเอกพันธ์ แต่เขาเองกลับต้องคิดถึงบางอย่างที่เขาสัมผัสได้อย่างคุ้นเคยเมื่อเอกพันธ์ขับรถผ่านในตอนเช้า
...คลับคล้ายว่าข้าเคยพบจากที่ไหนสักแห่ง...
...หืม? อะไรหรอ?... อลิสถามเจนนูในใจ 
...อ่อ ไม่มีอะไร ข้าคิดไปเรื่อยเปื่อย...เจนนูตอบตะกุกตะกัก เขาลืมไปว่าเชื่อมจิตใจกับหญิงสาวคนนี้แล้ว จากนี้ไปคิดอะไรคงต้องระวังไม่ให้เผลอสื่อสารไปถึงเธอ
        อลิสสิตาเคลียร์งานเก่าของนายริชมอนด์ที่ค้างคาอยู่อย่างรวดเร็ว ไม่นานเธอก็เรียกเลขาส่วนตัวออกมาเพื่อนัดแจกแจงงานพร้อมเชิญหัวหน้าฝ่ายต่างๆเข้าพบที่ละคนเพื่อตรวจสอบและถามเกี่ยวกับระบบงานของฝ่ายต่างๆ จนพักเดียวก็ถึงเวลาเที่ยง อลิสสิตายังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานคุยกับเลขาส่วนตัว
“เอาตามนี้นะคะพี่วิ เดี๋ยวตอนบ่ายสองอลิสจะรอพบคุณชัยเพื่อคุยเรื่องการตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์ต่อ” อลิสพูดจบก็ยื่นเอกสารให้กับวิชุดา เลขาของเธอ ที่ยื่นมือมารับก่อนลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากห้องไป
พอวิชุดาออกจากห้องไป อลิสสิตาก็ยืดแขนทั้งคู่จนสุดแล้วบิดตัวพร้อมถอนหายใจออกมา เวลาผ่านไปรวดเร็วจนเที่ยงในขณะที่เธอง่วนอยู่กับงานจนลืมหิว จากนั้นอลิสสิตาก็ลุกขึ้นพร้อมเดินออกไปนอกห้องทำงานเพื่อไปหาอะไรกิน
...มื้อนี้เจ้าจะทานอะไร?... เจนนูเอ่ยปากถามหลังที่เงียบมานาน เพราะไม่ต้องการรบกวนสมาธิของเธอ
...นั่นสินะ กินอะไรดีละ... อลิสสิตาตอบอย่างอารมณ์ดีพลางนึกถึงอาหารไปเรื่อย ทันใดนั้นก็มีเสียงโวยวายจากด้านหน้าลิฟท์ที่อลิสสิตากำลังเดินไป พร้อมกับเสียงของวิชุดาที่ร้องห้าม
“คุณคะ ไม่ได้ค่ะ นี่เวลาพักเที่ยงของท่านประธานกรุณาติดต่อใหม่ตอนบ่าย” เสียงวิชุดาร้องห้ามใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อลิสสิตาเริ่มเป็นห่วงจึงรีบเดินไปยังต้นเสียงที่อยู่ตรงลิฟท์ซึ่งอยู่ตรงทางแยกด้านขวา
“คนตายเป็นสิบนี่คุณคิดว่าจะให้ผมรอรึไง” เสียงของผู้ชายดังกระโชกโฮกฮากพร้อมย่ำเท้าเสียงดัง ”นี่ อย่ามาจับผมสิ ผมตำรวจนะ โว้ย”
สิ้นเสียง พอดีกับที่อลิสสิตาเดินมาเห็นพอดี ร่างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำอาคารโดนเหวี่ยงไปกระแทกกับกำแพงข้างลิฟท์ ในขณะที่วิชุดาตกใจยืนค้างทำอะไรไม่ถูกที่เห็นชายในเสื้อยืดกางเกงยีนส์มีเฝือกที่ขาขวาเหวี่ยงชายร่างใหญ่ได้ง่ายดายราวกับเป็นเพียงของเล่น
“คุณต้องการมาพบอลิส ไม่เห็นจำเป็นต้องทำร้ายร่างกายคนอื่นนี่คะ” อลิสสิตาตวาดอย่างไม่เกรงกลัว ชายคนนั้นหันมาสบตาอลิสสิตาอย่างแข็งกร้าว เขาเป็นชายผิวเข้มหน้าตาคมแต่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนทั่วใบหน้า แถมยังมีเฝือกที่ขาขวา
...เจ้านี่ขาบาดเจ็บเพียงนี้ยังสามารถทำร้ายชายฉกรรจ์ได้ ระวังตัวไว้ด้วยแม่หญิง... เจนนูเตือนขณะที่ตนรู้สึกถึงกลิ่นแปลกๆที่มาจากตัวเขา
“ขอโทษด้วย” ชายคนนั้นตอบห้วน พลางมองซ้ายขวา วิชุดาสะดุ้งเมื่อถูกสบตาเข้าแวบเดียว แล้วค่อยๆถอยออกไปอย่างหวั่นๆ
“ผมชื่อกิตติ เป็นตำรวจ” ชายคนนั้นแนะนำตัวขณะมองวิชุดาราวกับจะฆ่าทิ้ง แล้วหันมาสบตากับอลิสสิตา “คุณคือลูกสาวคุณริชมอนด์ใช่มั้ย”
“อลิสสิตาค่ะ อลิสสิตา เชาวกรกุล” อลิสสิตาแนะนำตนเองพร้อมทำท่าเชื้อเชิญให้นั่ง แต่กิตติกลับปฎิเสธ
“ผมว่าผมไม่ใจเย็นขนาดจะนั่งได้หรอกครับ คุณกำลังจะไปไหน ผมไปด้วยดีกว่า ผมจะคุยกับคุณ”
“อลิสจะไปทานข้าวค่ะ ถ้าคุณต้องการอย่างนั้นก็ไปทานข้าวด้วยกันเลยมั้ยคะ?” อลิสสิตาเชื้อเชิญ กิตติพยักหน้ารับก่อนจะลงลิฟท์ไปด้วยกัน
...เอ่อ นี่เจ้ากล้าชวนชายที่ไม่รู้จักไปทานอาหารด้วยกันขนาดนี้เชียวรึ... เจนนูถามอย่างอึ้งๆขณะที่ยังอยู่ในลิฟท์ด้วยกันทั้งหมด
...ทำไมอลิสต้องกลัวล่ะ นายสัญญาจะปกป้องอลิสแทนพี่เอกไม่ใช่หรอ?... อลิสสิตาย้อน
...ข้าคิดว่าหากเกิดอะไรขึ้น ข้ากลัวเจ้านั่นจะบาดเจ็บมากกว่าเดิมซะเปล่า...
...เก่งจังนะนายเจนนู แน่จริงก็ปกป้องอลิสให้ได้อย่างที่พูดแล้วกัน...
...นี่เจ้า... เจนนูยัวะเล็กๆที่โดนหญิงสาวสวนกลับ ฝ่ายอลิสสิตาก็อมยิ้มจางๆจนกิตติหันมามองอย่างสงสัยเล็กน้อย แต่ก็ไม่พูดอะไร
...ไว้ทีข้าบ้างนะ... เจนนูฝากไว้ในใจพลางนึกถึงแผนจะสำเร็จโทษเธอในคืนนี้เล่นๆ 

        อลิสสิตามายังรถส่วนตัวและเชื้อเชิญให้กิตตินั่งไปด้วยก่อนพาไปยังร้านอาหารหรูด้านนอก พอมาถึงก็มีพนักงานออกมาต้อนรับถึงประตูรถ เธอเดินไปยังบันไดหินอ่อนปูพรมแดงและตามมาด้วยกิตติที่เดินเขยกขาเพราะเข้าเฝือกที่ขาขวา พอเดินผ่านประตูไม้สีน้ำตาลมันเลื่อมที่ประดับด้วยแก้วสีสันต่างๆเป็นรูปนามธรรมที่แสดงความเป็นตัวตนของยุคเรเนสซองส์ก็เข้าไปพบกับโถงใหญ่โอ่อ่า ที่เต็มไปด้วยโต๊ะอาหารหินอ่อนขนาดและสีสันต่างๆกัน ผู้คนที่อยู่ในนี้ต่างเป็นเหล่าผู้ดีมีอันจะกินทั้งสิ้น สวมเสื้อสูท ชุดผ้าไหมมีราคาที่ส่งให้ผู้สวมใส่ล้วนดูสง่างามไปหมด สร้างความแตกต่างให้พวกเขาราวกับอยู่คนละโลกเลยทีเดียว
        วันนี้อลิสสิตาแต่งตัวด้วยชุดทำงานธรรมดาที่เป็นแสื้อเชิ๊ตแขนยาวสีขาว ตรงคอเสื้อมีลูกไม้ตกแต่งมาเป็นริ้วสวยงาม และใส่เพียงกระโปรงทำงานสีดำยาวถึงเหนือหัวเข้า และกิตติที่ใส่เพียงเสื้อยืดสีเทาและกางเกงยีนส์พับข้างตามด้วยเฝือกสีขาวหม่นๆ เพียงแค่ก้าวเข้ามา สายตาของผู้คนทั้งหมดก็จ้องมายัง2คนนี้เป็นตาเดียว
“มองไรวะ ถอดสูทถอดเสื้อออกมาหน้าตาก็ไม่ต่างกูหรอก” กิตติกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
“ใจเย็นค่ะ เรามาคุยงานดีกว่า เชิญทางนี้” อลิสสิตากล่าวปรามเล็กน้อยพลางผายมือเชื้อเชิญให้เขานั่งเก้าอี้ที่อยู่ตรงหน้า กิตติรู้สึกอายเล็กน้อยที่เขาพูดอะไรดูไม่เข้าท่าจึงรีบนั่งลงอย่างรวดเร็ว
เมื่ออลิสสิตานั่งเรียบร้อยก็สั่งอาหารมา4รายการ ในขณะที่กิตติล้วงเอาเอกสารออกมาวางไว้บนโต๊ะ
“เชิญค่ะ” 
“ครับ ที่ผมต้องนัดเร่งด่วนเช่นนี้เพราะว่าผมต้องการพยานในเหตุการณ์”
“พยานในเหตุก... อะไรนะคะ?” อลิสสิตาถามด้วยความงุนงงมองหน้าที่มีรอยขีดข่วนของกิตติอย่างสงสัย
“เมื่อสามคืนก่อน คุณอลิสสิตาทำอะไรอยู่ที่ไหนครับ?”
“อลิส...ไปนั่งทานอาหารมื้อค่ำบนภัตตาคารลอยฟ้าค่ะ”
“คุณอยู่ที่นั่นกับใครบ้าง?”
“อลิสอยู่กับพ่อ คุณวิชิต และคุณภูชิตค่ะ”
“ครับ จากข่าว ผมทราบมาว่าเกิดเหตุการณ์วัตถุลึกลับเข้าชนที่ดาดฟ้าตึกนั้นซึ่งทำให้คุณริชมอนด์ต้องเสียชีวิตคาที่” กิตติเว้นวรรคแล้วหันมาสบตาหญิงสาว เห็นดวงตาเธอสั่นเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถึงนายริชมอนด์ก่อนจะอ่านต่อ “ส่วนคุณภูชิตและคุณวิชิตหายตัวไป...”
“ค่ะ อลิสทราบแล้วค่ะ และอลิสได้ให้การกับตำรวจที่สถานี่เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ครับผมทราบ คุณได้ให้การไว้ว่าคุณไม่รู้เรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะคุณหมดสติไป ก่อนที่จะปรากฏตัวอีกครั้งที่คฤหาสน์บ้านคุณเอง...”
“ค่ะ”
“แต่หลังจากนั้นอีกเพียงวันเดียว เราพบศพหญิงสาวและคนอื่นมากมายที่ดงสลัมใกล้จุดเกิดเหตุซึ่งสภาพศพพบว่าถูกทำร้ายด้วยสิ่งต่างๆแตกต่างกันไป แต่เป็นสถานที่ที่ใกล้กับจุดที่คุณหมดสติและหายตัวไปในคืนนั้น และทางเราได้พบหลักฐานเป็นเศษผ้าของชุดราตรีของคุณตกอยู่ที่กอหญ้าตรงข้ามกับจุดเกิดเหตุ” พูดจบกิตติก็วางซองพลาสติกใสที่มีเศษผ้าไหมสีฟ้าลงบนโต๊ะ
“ค่ะ แล้วหลักฐานไหนบ่งชี้คะว่าอลิสเป็นผู้ลงมือ”
“ผมไม่ได้จะกล่าวว่าคุณเป็นฆาตกรนะครับ แค่ขอให้คุณช่วยนึกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่หลังจากที่เกิดเหตุการณ์พุ่งชนนั้น ขนาดพื้นกระเบื้องยังแตกกระจายเกิดรอยไหม้เป็นทาง กระจกและสิ่งก่อสร้างพังแทบไม่มีชิ้นดี คนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็บาดเจ็บกันทั้งนั้นแต่คุณกลับไม่เป็นอะไรเลย”
        ทันใดนั้น เจนนูสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่แปลกปลอม
“อลิสบอกแล้วค่ะว่าอลิสจำไม่ได้ ถึงขั้นนี้อลิสว่าอลิสต้องขอดูบัตรพกของคุณแล้วค่ะ” อลิสกล่าวด้วยเสียงเรียบในขณะที่ดวงตาแสดงความไม่พอใจอยู่ลึกๆ
...แม่หญิง...เรียกอลิสสิตาในใจ เธอกลับไม่ตอบอะไรเขา
“เอ่อ บัตร” กิตติล้วงกระเป๋ากางเกงหาบัตร แต่เขาไม่ได้พกมันมาจึงเริ่มแสดงอาการกระวนกระวาย
“อย่าบอกนะคะว่าตำรวจมาสอบถามพยานเนี่ย ไม่จำเป็นต้องพกบัตร” อลิสสิตายิ้มอย่างมีชัย กิตติมองหน้าเธออย่างเจ็บแสบเหมือนโดนตอกกลับ ใจอยากจะค้านแต่ไม่มีอะไรจะสู้ได้
...แม่หญิง ฟ้งข้า... เจนนูเรียกเธออีกครั้งด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม
...เดี๋ยวก่อนนายเจนนู อลิสกำลังต้อนนายนี่ให้จนมุม... อลิสตอบด้วยเสียงยิ้มกริ่มในขณะที่ใบหน้าเธอไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมา
...ไม่ใช่เรื่องนี้อลิสสิตา ข้าหมายถึง..
“ถ้าไม่มีธุระอะไรต้องขอเชิญกลับด้วยนะคะ” อลิสสิตาปล่อยประโยคเด็ดออกไป “แล้วหากหิวก็ทานอาหารนี้ได้นะคะ” จากนั้นเธอก็เดินออกไปทิ้งให้กิตตินั่งอยู่ตรงนั้นด้วยความโกรธจัดที่ถูกหักหน้า โดยส่วนตัวแล้วอลิสสิตาไม่ได้มีนิสัยใจคอที่เลวร้ายขนาดนี้ แต่เธอไม่ชอบที่ถูกหาว่าไปทำร้ายผู้อื่นและยังจะต้อนเธอให้จนมุมเข้าไปอีก เธอเดินออกไปที่หน้าประตูโดยไม่ทันรู้ตัวว่ามีบางสิ่งกำลังพุ่งเข้าหาเธออย่างรวดเร็ว
...อลิสสิตา ระวัง!!!... สิ้นเสียงเจนนู ร่างของเขาก็ขยายตัวอย่างรวดเร็วฉีกกระชากเสื้อที่ใส่อยู่จนขาดกระจุยแล้วห่อหุ้มร่างของอลิสสิตาไว้จนกลายเป็นลูกบอลทรงกลม ไม่ทันไรก็โดนกระแทกปลิวไปด้านหลังชนโต๊ะอาหารนับสิบล้มกระจายไปทั่ว เหล่าผู้ดีที่กำลังนั่งทานอาหารโดยไม่ทันได้หันไปมองก็ปลิวกระเด็นออกจากที่นั่งแบบไม่ทันตั้งตัวเหมือนกับกิตติที่โดนกระแทกจากร่างของเจนนูจนไปชนกับเสาหินด้านข้าง 
พริบตาเดียวที่ร่างของอลิสปลอดภัยและหยุดนิ่ง เจนนูก็หดตัวลงอย่างรวดเร็วกลับมาเป็นชุดรัดรูปดังเดิม อลิสสิตาลุกขึ้นอย่างมึนงง สำรวจตนเองก็พบว่าอยู่ในชุดรัดรูปสีดำตั้งแต่แผงคอจนถึงหน้าขาอ่อน และไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆทั้งสิ้น
“หึหึ มีของดีเหมือนกันหรอครับ คุณหนู...” เสียงแหลมๆฟังดูน่ารังเกียจดังจากประตูที่ฉีกออก มีคราบเลือดไหลออกมาจากพื้นหินนั้น ปรากฏร่างสูงผอมของชายคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางแสงแดดที่ส่องเข้ามา
“ในที่สุดก็หาเจอ” ร่างนั้นเดินเข้ามาจนแสงไฟจากโคมส่องจนเห็นรูปลักษณ์ของเขา 
        ร่างกายที่ผอมสูงชะลูดซะจนกลบเอาความหนาของลำตัวออกไป ใบหน้าเรียวแหลมนั้นกำลังแสดงความปิติยินดีผ่ายรอยยิ้มที่ดูน่าสะพรึงกลัว ดวงตาเล็กกลมๆกำลังจ้องมองร่างหญิงสาวที่อยู่กลางซากไม้และสิ่งของที่กระจัดกระจาย นี่คือวิชิต ที่หายตัวไปจากสังคมมานานแสนนานและกลับมาพร้อมกับบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงในตัวเขา
...ข้าก็พยายามเตือนเจ้าแล้ว เจ้าไม่ฟัง คราวนี้ระวังตัวนะ... เจนนูพูดด้วยน้ำเสียงแข็ง
...คะ...ค่ะ... อลิสสิตาตอบขณะยังมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในขณะที่กิตติยันกายของตนเองขึ้นมาดูผู้บุกรุกแล้วล้วงเอาปืนพกที่เหน็บไว้กับตัวออกมา
“นายวิชิต... นายเป็นอะไรไป” อลิสสิตาร้องถามขณะค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆ
“กูน่ะหรอ  เหอะๆ” วิชิตแสยะยิ้มอย่างน่าเกลียด ใช้มือขวาลูบไล้ใบหน้าตนเองเบาๆ
“กูเป็นพระเจ้าไงเล่าอีสัด” วิชิตตะโกนเสียงดังแล้วสะบัดมือของเขาออกไปอย่างรวดเร็ว ปลายนิ้วของเขายืดออกอย่างรวดเร็วกลายเป็นเส้นยาวๆสีดำมากมายพุ่งเข้าหาหญิงสาวอย่างรวดเร็ว
วินาทีนั้นกิตติก็ประทับปืนและลั่นไก...
จบตอนที่ 24 อ่านต่อ 25 นะครับ
(ไปเที่ยวหัวหินมา หมดตูดเลยผมฮ่าๆ)

14 พฤษภาคม, 2555

จิตอิสระ บทที่ 4: ซึมซับ ตอนที่ 23 โดย อิสระ


จิตอิสระ บทที่ 4: ซึมซับ ตอนที่ 23 โดย อิสระ

---ณ บ้านพักของเอกพันธ์---


                เอกพันธ์ค่อยๆลืมตาอย่างช้าๆหลังจากเผลอหลับไปเพราะความอ่อนเพลียที่สะสมมาตั้งแต่เมื่อคืน เขารู้สึกได้ถึงน้ำหนักของร่างหญิงสาวที่กดทับเขาอยู่ เมื่อเงยศีรษะขึ้นมาดู ก็พบใบหน้างามสงบของจีเซลล่าที่นอนบนตัวเขา หายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ เส้นผมสีแดงน้ำตาลกระจายประปรายบนแผ่นอกของเขาส่องแสงสะท้อนเงาบางๆตัดกับหัวไหล่สีอ่อนที่พาสายตาของเขาไปยังแผ่นหลังเปลือยเปล่าทอดยาวจนถึงภูเขาก้อนกลมงอนสองลูกที่ตั้งอยู่เหนือบริเวณท่อนขาของเอกพันธ์

..เธอชื่ออะไรนะ จีเซลล่าหรอ?.. 


เอกพันธ์คิด ขณะที่เผลอลูบปอยผมด้วยมือขวาอย่างลืมตัว แล้วยังไล่ฝ่ามือของตนไปยังแก้มเรียบเนียนอย่างเพลิดเพลิน จนแสงจากหน้าปัดนาฬิกาข้อมือสะท้อนวูบวาบแยงตา ก็ตกใจรีบมองเข็มสั้นเข็มยาวที่แสดงเวลา11โมงครึ่ง

...ฉิบหาย นอนจนลืมเวลาเลยกู...

แล้วเขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ตรงต่อเวลา และลางานโดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า อย่างนี้คุณหนูอลิสต้องสงสัยเขาเป็นแน่ รึอาจจะไม่ เขาจะสำคัญอะไร ก็แค่คนที่ท่านริชมอนด์เก็บมาจากข้างถนน แม้จะเรียนจบปริญญาตรี ก็ยังคงเป็นคนคุ้มกันของคุณอลิสอยู่เท่านั้น เป็นคนที่เธอไม่จำเป็นต้องหันมาเหลียวแลแม้เพียงปลายหางตาด้วยซ้ำ...
เอกพันธ์ถอนหายใจอีกครั้งให้กับชีวิตของตนเอง สายตามองไปยังเพดานห้องของตนที่เป็นสีครีมอ่อน มีแสงสะท้อนจากบ่อปลาเล็กๆหน้าบ้านเป็นลายน้ำขยับไปมาบนเพดานดูมีชีวิตชีวา แล้วเขาก็วกมาคิดถึงร่างที่นอนสงบนิ่งบนตัวเขาอีก


...เดี๋ยวคงต้องรอให้แม่นี่ตื่นก่อน แล้วค่อยพาไปส่งที่ไหนก็ได้ไกลๆคฤหาสน์พร้อมกับเงินให้จำนวนหนึ่งให้พอไปไหนต่อได้ก็พอ...
...แต่ว่า...
...หนักไม่เบานะ คนนี้นี่ หน้าตาก็ไม่ใช่คนไทย ชื่อก็แปลก ลูกครึ่งป่าววะเนี่ย แต่ก็ไม่เบาเหมือนกันนะ...


                พอใจคิด ร่างกายก็ตอบสนองทันที เอกพันธ์อยากจะเพ่นกบาลตนเองที่เกิดความคิดขึ้นมาขณะที่ท่อนกายของเขากำลังยันตัวลุกขึ้นมาผงาดช้าๆราวกับมันตายแล้วเกิดใหม่ พอมันโตได้ที่ก็ตั้งตัวไปแนบกับร่องก้นของจีเซลล่าพอดี ท่อนเอ็นมันไปทาบกับร่องสวาทนิ่มๆนั้นทำให้เลือดในกายของเขาพลุ่งพล่านไปทั่วเลยทีเดียว

...อีกรอบคงไม่ว่ากันนะ จีเซลล่า...

                ราวกับร่างกายเธอตอบสนองได้โดยอัตโนมัติ สะโพกคอดเว้านั้นส่ายไปมาเพื่อให้กลีบสวาทได้เบียดเอ็นอุ่นๆได้ถนัดขึ้น จีเซลล่าส่งเสียงครางออกทั้งๆที่เธอยังหลับตาพริ้ม เอกพันธ์เห็นอากัปกริยานั้นถึงกับอดใจไม่ไหว ยกเอวตนขึ้น สอดมือทั้งสองข้างไปที่หน้าขาของหญิงสาวแล้วแอ่นเอวส่งท่อนเนื้อสอดเข้าไปในถ้ำสวาททันที

“อ๊า...” จีเซลล่าร้องครางเบาๆ กัดริมฝีปาก ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เธอยังคงไม่ลืมตา เอกพันธ์ไม่แน่ใจว่าเธอตื่นหรือรู้สึกตัวรึเปล่า เขาก็ไม่ได้สนใจนักเพราะความรู้สึกที่ถูกกล้ามเนื้อภายในช่องคลอดบีบรัดนั้น ทำให้ความคิดและสติของเขาเหลือน้อยเต็มทน

                เอกพันธ์กลั้นใจดันเสือน้อยของตนเข้าไปในช่องคลอดสุดลำจนกระทบผนังด้านใน จีเซลล่าก็ร้องผวาพลางเกร็งตัวไปทั้ง
ร่างกาย ขมิบบีบรัดท่อนเนื้อแน่นจนเอกพันธ์รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก เขาจึงค่อยๆผ่อนแรงถอนท่อนเนื้อออกจากร่องสวาทอย่างช้าๆพร้อมกับสูดปากครางด้วยความเสียว เพราะร่องนั้นบีบรัดเขาเป็นจังหวะถี่ๆรัวๆไม่หยุดหย่อน จนเอกพันธ์ทนไม่ไหว มือทั้งสองข้างที่จับหน้าขาเปลี่ยนมาขย้ำก้นอย่างแรงแล้วรั้งเข้ามาหาตัวส่งท่อนเนื้อเบียดตัวเข้ามาในร่องหลืบอย่างแรง

“โอ๊วว!!!” จีเซลล่าร้องอุทานเสียงหลงแล้วลืมตาจ้องหน้าเอกพันธ์อย่างตกใจ ใบหน้าขาวสวยนั้นแดงซ่านไปด้วยเลือดที่ไหลเวียนทั่วร่างกาย ทันใดนั้นสายตาสีฟ้าใสนั้นก็แข็งกร้าวราวกับมันเริ่มออกฤทธิ์ ยังไม่ทันที่เอกพันธ์จะถอนท่อนเนื้ออีกครั้ง จีเซลล่าก็ยันร่างเธอขึ้นอย่างรวดเร็ว ขยับขาทั้งสองเปลี่ยนมาเป็นนั่งยองโดยที่ยังคาบท่อนเนื้อไว้อยู่

                เมื่อได้ที่แล้ว จีเซลล่าสูดอากาศหายใจเข้าเต็มปอด จากนั้นเธอก็ตั้งหน้าตั้งตาขย่มท่อนเอ็นอย่างรวดเร็วราวกับเครื่องจักรกำลังไฟสูง เอกพันธ์ได้แต่นอนแอ่นรับความเสียวสุดยอดที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน เขากำลังตะลึงกับความร้อนแรงของสตรีผู้นี้ และยังรู้สึกเสียวที่ท่อนเอ็นไม่ได้หยุดหย่อนจนทนไม่ไหวร้องครางไปด้วย แต่ครั้งนี้เขายังคงทนได้นานกว่าที่ผ่านมาเพราะเสร็จสมไปแล้ว4ครั้งนับตั้งแต่เมื่อคืน ครั้งนี้แหละ เขาจะทำให้พยัคฆ์น้อยที่หงอถ้ำกลับมาผงาดเหนือสิ่งใดอีกครั้ง เอกพันธ์กัดฟันสู้กับลีลาร้อนแรงของจีเซลล่า เรื่องอะไรจะมาโชว์ไก่อ่อนในบ้านของตนเล่า เขาจับเอวคอดกิ่วของจีเซลล่าจนมั่นแล้วกระเด้งเอวสวนเข้าไปอย่างแรงจนร่างขาวอวบนั่นสะท้าน จีเซลล่าสะบัดผมไปมาพร้อมกับร้องครางด้วยความเสียวสุดๆขณะที่ร่องสวาทเธอขมิบถี่ๆผลิตน้ำเมือกออกมาชโลมท่อนเนื้อให้ลื่นเป็นมันทำให้ยิ่งเสียวไปมากกว่าเดิม สักพักเอกพันธ์ก็รู้สึกได้ถึงการขมิบอย่างรุนแรง จีเซลล่าก็เร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆจนหน้าขาของเอกพันธ์และขาอ่อนจีเซลล่ากระทบกันเกิดเสียงเป็นจังหวะ

“อ๊า~~~~” จีเซลล่าร้องกรี๊ดเสียงดังแหงนหน้าขึ้นแล้วเกร็งร่างกายอย่างแรงขมิบช่วงล่างหลายครั้ง ก่อนจะทิ้งตัวลงไปครั้งสุดท้ายแล้วลงไปซบกับร่างของเอกพันธ์

         เอกพันธ์ยิ้มอย่างมีชัยที่สามารถทำสาวเบื้องหน้าตนเสร็จไปได้ ขณะที่กลั้นใจไม่หลั่งน้ำกามแทบตาย เขานอนรอสักพักให้ร่องสวาทของเธอเริ่มคลายตัวลง จากนั้นก็พลิกร่างเหนื่อยหอบของจีเซลล่าให้อยู่ด้านล่าง ส่วนเขาช้อนขาขึ้นมาให้ข้อพับอยู่ตรงข้อศอกขณะที่เอามือยันพื้นไว้ที่ราวหน้าอกของจีเซลล่า ส่งผลให้ก้นของหญิงสาวลอยขึ้นจากพื้นพรม เอกพันธ์จัดแจงเสร็จก็โก่งเอวสาวท่อนเนื้อยาวๆ ก่อนอัดเข้าไปอย่างแรงและรวดเร็วจากนั้นก็เริ่มซอยอย่างเมามัน

“อ๊ะ อ๊ะ โอ๊ว เอ๊าะ ๆๆๆๆๆ” จีเซลล่าครางเสียงดังขณะหลับตาปี๋คิ้วขมวดส่ายหน้าไปมา นมทั้งสองก้อนกระเพื่อมขึ้นลงตามแรงอัดปลิ้นไปมาขณะที่กลีบแคมยู่ยับไปตามท่อนเนื้อที่ครูดเข้าออกอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้เอกพันธ์เห็นใบหน้าของเธอได้อย่างชัดเจน เขาก็นึกพึงพอใจในร่างงดงามนี้ ทุกส่วนของร่างกายเธอสามารถบันดาลอารมณ์ของเขาได้ไปทั้งทุกส่วนสัด จนเอกพันธ์เริ่มจะทนความเสียวไม่ไหวแล้ว ก็ใช้มือทั้งสองข้างคว้าหมับไปทั้เอวคอดกิ่วแล้วกระแทกอย่างรุนแรง

“อ๊า อ๊า อ๊า อ้า.. อ๊า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ โอ๊ว อ๊อวว เอ๊าวว “ จีเซลล่าครางลากเสียงยาวด้วยความเสียวและร่างของเธอก็กระตุกอีกครั้ง ร่องรักบีบท่อนเอ็นอย่างรุนแรงจนเอกพันธ์ทนต่อไปไม่ได้ ส่งท่อนเอ็นเข้าไปครั้งสุดท้ายจนสุดตัวแล้วระเบิดน้ำกามเข้าไปอย่างรุนแรง

“ซี๊ดดด....ฮ๊า.....” จีเซลล่าครางซี๊ดยาวขณะเอกพันธ์ทิ้งตัวลงไปทับจีเซลล่าแล้วกอดร่างเธอแน่น ฉีดน้ำกามเข้าไปอีกสองครั้ง ก่อนจะแน่นิ่งไป

...โอยยย   กูยอมเลย   ค่อยไปส่งเย็นนี้แล้วกัน...

เอกพันธ์คิดก่อนจะหลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย จีเซลล่ากอดร่างแข็งแกร่งที่ทับตนอย่างหลวมๆขณะที่เธอกำลังมองแผ่นหลังของเอกพันธ์ด้วยดวงตาสีฟ้าที่จางลง



จบตอนที่ 23 อ่านต่อ 24 นะครับ
(แต่งบทคู่นี้แล้วมันส์สะใจจริงๆ ยังกะกินพริกเผ็ดๆเข้าไป คุณว่ามั้ยครับ อิอิ)

จิตอิสระ บทที่ 4: ซึมซับ ตอนที่ 22 โดย อิสระ


จิตอิสระ บทที่ 4: ซึมซับ ตอนที่ 22 โดย อิสระ



ติ๊ดดด....

เสียงแหลมสูงแว่วมาจากข้างขวา

ติ๊ดดด...
เหมือนดังนาฬิกาปลุก กิตติค่อยๆลืมตาที่หนักอึ้งออกมาช้าๆ แสงไฟสีขาวสว่างจ้าอยู่ตรงใบหน้าพอดี น้ำตาถูกหลั่งออกมาเพื่อลดอาการแสงแยงตาของกิตติ ทำให้มองอะไรไม่ชัดไปกว่าเก่าอีก
“มะ... หมอคะ” เสียงหวานๆดังมาจากอีกข้างหนึ่ง กิตติกลอกตาไปทางซ้าย เห็นภาพหญิงสาวชุดพยาบาลสีขาวยืนถือรายงานพร้อมปากกาอย่างเลือนลาง เธอกำลังหันไปด้านหลังเหมือนจะคุยกับใครอีกคน
“ผู้ป่วยรู้สึกตัวแล้วค่ะหมอ” กิตติได้ยินเธอพูด ในขณะที่เปลือกตาของเขาเลื่อนลงมากลบดวงตาให้มืดมัวอีกครั้งนึง กิตติหันหัวไปอีกข้างกลับเห็นสายต่างๆระโยงไปมาจากตัวเขาสู้เครื่องมากมายที่แสดงหน้าจอสีเขียวสีส้ม มีหน้าปัดบอกตัวเลขที่เขาไม่สามารถทำความเข้าใจได้เลย แต่ดูเหมือนมันจะทำให้เขาสามารถปิดตาลงได้โดยไม่มีข้อกังขาใดๆทั้งสิ้น
-วิหค ช่วยผมด้วย วิหค-
-อ๊อกกกก อ๊าก -
-มัจฉาเรียกวิหค ต้องการกำลังไปที่ประตู4ด่วน-
-จากสมิง วิหค คุณและลูกทีมอยู่ที่ไหน -
-........-
-นี่มันตัวอะไรวะ-
-ยิงมันสิ เหวอออ-
-อ๊ากก -
-กาเหว่ากับนิลถูกมันจับไปแล้ว-
-พี่กิตติ ช่วยผมด้วย-
...


“เหี้ยย!!!
                กิตติสะดุ้งตัวลุกพรวดดวงตาเบิกโพลง ยังไม่ทันจะมองอะไรได้ชัด แต่รู้สึกได้ถึงอันตรายที่อยู่เบื้องหน้าเอื้อมมือซ้ายไปคว้าก็จับยึดบางอย่างได้ ถึงงัดมือขวาอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะจู่โจมเป้าหมาย
“กรี๊ดด”
“เหวอะ!!!” กิตติชะงักมือขวาก่อนที่จะถึงใบหน้างามนั้นเพียงไม่กี่เซน หญิงสาวพยาบาลคนนั้นหลับตาปี๋ตัวสั่นระริก พอเธอไม่ได้โดนทำร้ายอย่างที่คิดไว้ก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมองกิตติที่จ้องเธอตาปริบๆ

                กิตติจ้องดวงตาสีดำกลมโตที่หวาดกลัวนั้นอย่างตกตะลึง ดวงตาคู่นั้นเหมือนกำลังทำให้ใจที่ร้อนรุ่มของเขาดับลงอย่างไร้หนทางดิ้นรน หยาดน้ำตาที่เกาะขอบดวงตานั้นไหลลงจากดวงตาช้าๆไปตามใบหน้าที่ขาวผ่องผ่านพวงแก้มที่ได้รับการตกแต่งด้วยสีแดงอ่อนๆและริมฝีปากเล็กๆสีชมพูอ่อนที่เม้มหนักเพราะอาการเกร็งจัด ทุกสิ่งที่กิตติเห็นทำให้เขาฟื้นจากฝันแล้วกลับถูกจองจำในภวังค์แห่งเสน่หา
“คุณ...” กิตติร้องอย่างตกใจหลังจากจ้องตากันได้สักพัก และจู่ๆใบหน้าของกิตติก็หันไปด้านขวาอย่างรวดเร็วพร้อมกับความรู้สึกชาๆที่แก้มและเสียงดังวิ้งที่ใบหูขวา

“ไอ้คนบ้า” สาวพยาบาลผู้นั้นร้องทั้งน้ำตาและขยับตัวถอยห่าง มือทั้งสองกุมทรวงอกตนผ่านเสื้อที่มีรอยยับอย่างหวงแหน กิตติหันกลับมามองจึงเข้าใจได้ทันทีว่าสิ่งที่มือซ้ายเขาขย้ำไปอย่างรุนแรงนั้นคืออะไร
“คุณ ผมขะ” กิตตินึกจะขอโทษแต่พยาบาลคนนั้นก็สะบัดหน้าวิ่งหนีไปเรียบร้อยแล้ว ทิ้งให้เขานั่งอยู่บนเตียงมองประตูห้องปิดดังโครม
กิตตินั่งจ้องประตูราวกับกำลังปรับความคิดได้ไม่นาน ประตูก็เปิดออกมาพร้อมร่างชายสูงยาวสวมแว่นตาในชุดกาวน์สีขาวเดินเข้ามาพร้อมกับบันทึกรายงานในมือ
“คุณกิตติ รู้สึกตัวแล้วใช่มั้ยครับ” หมอพูดขณะจ้องหน้าเขาและหันไปดูเครื่องต่างๆที่อยู่ด้านขวากิตติ
“อืม... ทุกอย่างปกติ ไหนผมขอเช็คอาการขาขวาหน่อยครับ” หมอพูดแล้วเลิกผ้าห่มขึ้น กิตติหันลงไปมองขาขวาตนก็ต้องตกใจเพราะมีเฝือกปูนพลาสเตอร์สีขาวห่อหุ้มตั้งแต่เหนือหัวเข่าลงไปยันฝ่าเท้า ราวกับใส่รองเท้าบู๊ทไว้
“นี่ผมเป็นอะไรไป” กิตติถามขณะกำลังนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ภาพของลูกทีมและแสงไฟจากไกปืนก็แวบเข้ามาในหัว
“คุณหลับไปสามวันหลังจากที่เราพาคุณไปผ่าตัดเอาเศษเหล็กและหินออกจากกระดูกขาขวา ผมไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทั้งทีมของคุณเท่าที่ทราบมาคุณเหลือรอดอยู่คนเดียวเท่านั้น
“ฮะ อะไรนะหมอ” กิตติร้องเสียงหลง
“เอ่อ... หมอขอตัว เดี๋ยวให้พยาบาลมาเช็กความดันและเปลี่ยนยาฉีดเข้าเส้นเลือดนะครับ” หมอหันหน้าหนีราวกับรู้สึกผิดที่บอกความจริงไป พยาบาลสองคนก็เข้ามาแทนที่สลับกับหมอที่ออกไป มาตรวจวัดความดันและเปลี่ยนเอายาน้ำมาแทนถุงน้ำเกลือ
“ผู้กองสมิง...” กิตติ พูดกับตนเองขณะที่พยาบาลกำลังแกะเครื่องมือวัดความดันให้เขา
“คะ?..” พยาบาลถามเขาเพราะไม่เข้าใจที่เขาพูด
“ผู้กองดำอยู่ไหน”  กิตติถามเสียงดังทำเอาพยาบาลข้างหน้าเขาตกใจ จนทำเอาเครื่องมือแพทย์หล่นจากมือ
กิตติสะบัดแขนแล้วกัดฟันแกะสายน้ำเกลือออกจากข้อมือ ผลักพยาบาลอีกคนที่จะเข้ามาห้าม ก่อนเดินกะเผลกไปยังประตูห้อง
“ผมอยู่นี่” เสียงดังจากประตูห้องพร้อมๆกับที่มันเปิดออกมา ชายหนุ่มหน้าคมในชุดเครื่องแบบตำรวจเดินเข้ามาพร้อมกับซัดหน้าของกิตติจนหงายไปด้านหลัง ทำเอาพยาบาลสาวน้อยคนเดิมที่เดินตามมาด้านหลังตกใจ
“ว๊าย ผู้กองดำ ทำเกินไปแล้วนะคะ” พยาบาลที่อยู่ในห้องร้องว่าใส่ ขณะนั่งลงไปดูอาการของกิตติที่หมดสติอย่างรุนแรง
“นี่แหละที่จะทำให้คุณกิตสงบลงได้” ผู้กองดำพูดขณะลูบหมัดตนเองป้อยเพราะเจ็บที่ต้องไปซัดหน้าแข็งกระด้างของกิตติ
“ให้หมอเอาเตียงคนบ้าแล้วจับมัดมันเหอะ เดี๋ยวมันก็ตื่นมาอาละวาดอีก” ผู้กองดำพูดขณะมองร่างไร้สตินั้นด้วยสายตาที่อ่อนลง
“หัวหน้าที่เสียลูกทีมไปต่างอะไรกับสูญเสียอวัยวะสำคัญหรอก” แล้วเขาก็เดินออกไปทิ้งให้กิตตินอนอยู่ตรงนั้นโดยมีพยาบาลพยายามหามร่างเขา
                กิตติกำลังจมอยู่ในห้วงความฝันที่สยดสยอง เขาเห็นร่างของกางเขนที่ตามหาถูกแยกชิ้นส่วนกระจายไปตามพื้น กาเหว่าลูกทีมคนสนิทห้อยอยู่ตรงบันได ลำคอมีรอยถูกเจาะ มัจฉาหัวหน้าชุด2พยายามคลานไปคว้าปืนกลเบาทั้งๆที่เหลือแต่ท่อนบน และเจ้าหนวดยักษ์สีดำ ที่เจาะเข้าขาขวาจนทะลุ มันกำลังชอนไชเข้ามาในร่างกายราวกับมือที่ล้วงเข้าไปในถุง สร้างความเจ็บปวดแทบสิ้นลมหายใจ ก่อนที่เขาจะขาดสติไป

จบตอนที่ 22 อ่านต่อ 23นะครับ
(สยดสยองได้ใจเลย ฮ่าๆ ตอนนี้กำลังติดนิยายของคุณAkisaอย่างแรง อยากอ่านเรื่องก้อยตอนใหม่ไวไว ติดตามผลงานของผมได้ที่ fallenversa.blogspot.com นะครับ)
                                                                                                                                                                      Itsara P. FallenVerSa