สารบัญ จิตอิสระ โดย อิสระ

12 มีนาคม, 2555

จิตอิสระ บทที่ 2:แปรผกผัน ตอนที่ 10 โดย อิสระ

จิตอิสระ บทที่ 2:แปรผกผัน ตอนที่ 10 โดย อิสระ

        หลังจากประชุมและจัดการเรื่องภายในบริษัททั้งวัน อลิสสิตา เชาวกรกุล ว่าที่ประธานบริษัทRSDคนใหม่ก็กลับมายังห้องทำงานส่วนตัวของตนเองบนชั้นสูงสุดของอาคารดุสิตา ซึ่งเป็นตึกที่ทำงานของคนทั้งบริษัท เธอทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ทำงานล้อเลื่อนสีกำบุหนังผสมผ้ากำมะหยี่ แล้วถอนหายใจเบาๆ เบื้องหน้าเธอคือกองแฟ้มมากมายที่ต้องรอให้เธอตรวจซึ่งเพิ่งเข้ามาเพิ่มไม่นานนี้เอง
“นี่เจนนู อลิสเหนื่อยเหลือเกินทำไงถึงหายดีเนี่ย” เธอพูดขึ้นอยู่คนเดียวราวกับมีคนอยู่ด้วย ซึ่งแน่นอน ผู้ที่รับรู้ไม่ใช่ใคร แต่เป็นเจนนู ที่อาศัยอยู่ในร่างของเธอ
‘เป็นธรรมดาที่เจ้าต้องเหนื่อย เพราะเรื่องงานมากมายและยังต้องแบกรับภาระทางร่างกายจากข้าอีก’ เจนนูพูดราวกับสำนึกผิดที่อาศัยร่างเธอ มันจริงที่อลิสสิตาต้องเหนื่อยกว่าเดิมเพราะต้องแบ่งพลังงานให้เจนนูไปกว่า30% ตลอดเวลา
‘แต่ข้าช่วยให้เจ้าหายเหนื่อยเมื่อยล้าได้นะ’ เจนนูพูดขึ้นเบาๆ อลิสสิตาซึ่งกำลังจะหลับตาก็ตกใจสะดุ้งจากอาการเอนหลังรีบร้องอุทาน
“ไม่ๆ อลิสยังไม่ต้องการตอนนี้” เธอร้องห้ามเสียงหลง พลางนึกถึงความรู้สึกที่เคยเจอ เจนนูได้ยินดังนั้นก็ปล่อยขำออกมาทีหนึ่ง
‘ข้าไม่ได้หมายความแบบที่เจ้าเข้าใจ’ เจนนูพูดด้วยอารมณ์ขัน พร้อมยืดร่างกายที่เป็นดังชุดรัดรูปสีดำมาคลุมตัวของอลิสสิตาไว้ตั้งแต่ไหล่จนถึงต้นขา อลิสสิตาพยายามขืนเบาๆเพราะเธอกลัวจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำเดิมอีกแต่ก็ไร้ประโยชน์
‘เชื่อข้าเถิดแม่สาวน้อย ข้าไม่ทำอย่างที่เจ้าคาดไว้หรอก’ เจนนูปลอบด้วยน้ำเสียงอบอุ่น อลิสสิตาดูจะคลายกังวลได้บ้าง จึงเอนตัวกับพนักพิงด้วยความระมัดระวัง ตอนนี้ร่างสีดำของเจนนูก็คลุมร่างอลิสสิตาไว้เรียบร้อย ราวกับเธอกำลังใส่ชุดประดาน้ำ จากนั้นเจนนูก็บังคับอวัยวะของตนให้บีบตัวบริเวณที่เป็นต้นคอ ไหล่ แผ่นหลัง และต้นขาของร่างสถิตตน อลิสสิตารู้สึกได้ถึงการสัมผัสนั้น มันเหมือนกับการนวดดีๆนี่เอง รู้สึกสบาย และผ่อนคลายเป็นอย่างมาก เธอไม่ค่อยได้รับการปรนนิบัติทางกายเท่าไหร่นัก เพราะไม่มีใครกล้าแตะต้องตัวเธอ ประกอบกับการชอบทำอะไรด้วยตนเองเพียงลำพัง ความรู้สึกแบบนี้จึงสร้างความผ่อนคลายให้เธอได้เป็นอย่างมาก 
สำหรับเจนนูแล้ว การทำแบบนี้ไม่ได้เปลืองแรงเขาเลย และเขาก็รู้สึกดีที่ทำให้อลิสสิตารู้สึกดีขึ้น เขารู้สึกได้ว่าร่างกายส่วนต่างๆของอลิสสิตานั้นช่างนุ่ม หอมหวาน และน่าชมขนาดไหน ราวกับกำลังโอบกอดปุยเมฆสีขาวนวลท่ามกลางสายลมอันบางเบา เขาไม่เคยได้สัมผัสอะไรที่สุดยอดขนาดนี้มาก่อน มันคือความรู้สึกแปลกใหม่สำหรับเขาเลยทีเดียว
อลิสสิตาเมื่อได้รับการปรนนิบัติอย่างดีเธอก็รู้สึกเพลิดเพลินจนไม่อาจจะลืมตาตื่นได้ หลับอยู่บนเก้าอี้นั้นไป...
/-/-/-/-/-/ขณะเดียวกัน ณ อาณาจักรอมตะนครา กาแล็กซี่ฟอร์แนกซ์ /-/-/-/-/-/-/
        เลวิกา เจ้าเมืองผู้เป็นดั่งทรราชทรงบัลลังก์อยู่ในปราสาทพู่กันสีหมอก ซึ่งได้ถูกเขาดัดแปลงให้เป็นสถานที่แปลกประหลาดที่สร้างมาเพื่อจุดประสงค์อันชั่วร้ายของเขา รอบกายเลวีการายล้อมไปด้วยเหล่าอมราเพศเมีย(ย้อนความนิด อมรา คือคำที่ใช้เรียกแทนผู้คนของเดมิก๊อด)มากมายที่ถูกบังคับขู่เข็ญให้เป็นทาสรับใช้ส่วนพระองค์ของเลวีกา อมราทุกตนอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบน อวดสัดส่วนโค้งเว้าสวยงามตามลักษณะของเผ่าพันธุ์ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับมนุษย์มากนัก เพียงแต่มีสีผิวที่หลากหลายกว่า ร่างนับร้อยของอมราเพศหญิงนั้นอยู่ในลักษณะกึ่งนั่งกึ่งยืน ทุกตนล้วนกำลังถูกเจ้าสายระยางค์สีเหลืองสดกำลังขยับเข้าๆออกๆในอวัยวะเพศซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างขาไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ อมราบางตนไม่ได้สติขณะถูกกระทำชำเรา บางตนร้องทุรนทุรายอย่างเจ็บปวด และอีกจำนวนหย่อมๆกำลังร้องครางอย่างมีอารมณ์ สายรยางค์เหล่านี้มาจากส่วนกลางร่างกายของเลวีกา ซึ่งเป็นผู้ดัดแปลง และปรับเปลี่ยนร่างกายของอมราทุกผู้ทุกตนบนดาวนี้ให้เป็นดั่งใจเขาต้องการ มีความรู้สึก มีอารมณ์ไม่ต่างอะไรจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ และเขาดัดแปลงอมราเพศเมียทุกตนให้เป็นดั่งผู้หญิง และดัดแปลงตัวเขาให้สามารถสร้างเครื่องเพศของตนได้มากเท่าที่ต้องการ และไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เลวีการู้สึกสนุกและเพลิดเพลินในกามารมณ์ที่ไม่รู้จบของตนเป็นอย่างมากท่ามกลางเสียงร้องโอดครวญแหบแห้งของอมราในห้องโถงนี้ กลิ่นคาวโลกีย์คละคลุ้งไปทั่วจนอาบย้อมให้ปราสาทพู่กันสีหมอกเสมือนตกอยู่ในอาจม 
        เจนนู ผู้ซึ่งเคยครองบัลลังก์อันสง่าไม่มีทางรู้เป็นแน่แท้ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับถิ่นอาศัยที่เคยสงบสุขจนน่าเบื่อของเขา กับราชินีจีเซลล่าผู้ครองบัลลังก์ร่วมกัน ขณะนี้อมตะนคราไม่ต่างอะไรจากเมืองร้างที่มีแต่ความสลดหดหู่ เปรียบได้กับกองขยะขนาดมหึมาที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าตลบอบอวล แล้วทีนี้ จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป???

จบตอนที่ 10 บทที่2: แปรผกผัน ติดตามต่อตอนที่ 11 บทที่ 3: ครอบงำ ครับผม





[สำหรับภาพนี่ ขอยอมรับว่าหาตามที่ต้องการไม่ได้จริงๆ เพราะหาไม่เจอ หรือเธอไม่มีก็ไม่รู้ ฮ่าๆ]
(โอ้ จบบทที่2แล้ว อาจจะห้วนๆไปนิด และไม่ค่อยถึงอารมณ์เผ็ดร้อนเหมือนพริกและขิงเท่าไหร่ บทที่3 จะเริ่มแล้วนะครับ เตรียมตัวๆ อิอิ ติชมได้นะครับ)

จิตอิสระ บทที่ 2:แปรผกผัน ตอนพิเศษ9.6: ได้มา โดย อิสระ

จิตอิสระ บทที่ 2:แปรผกผัน ตอนพิเศษ 9.6: ได้มา โดย อิสระ

ฟุ่บบ   
ถังขยะปลิวตามแรงเหวี่ยงของมือผมที่จับมันสะบัด  หลังจากที่ลองได้ซักพัก ผมก็รู้แล้วว่ามันก็คือมือของผมนี่เอง แต่ไม่รู้เพราะอะไร มันถึงได้ยืดยาวและเป็นตะปุ่มตะป่ำแบบนั้น แล้วยังมีสีดำอีกด้วย แต่มันก็สั่งได้ดั่งใจผมนะ จะยืด จะหด จับ พลิกซ้าย ขวา หมุนไปมา และรวดเร็วได้ดั่งใจเลยทีเดียว ผมลองเหวี่ยงจับของหลายสิ่งหลายอย่าง รวมถึงหลายคนแล้วด้วย ซึ่งน่าพอใจเลยทีเดียว แถมพอไม่ต้องการใช่ มันก็สามารถหดกลับไปเป็นมือดังเดิมได้อีกด้วย ผมไม่สนหรอกนะ ว่ามันมาได้ยังไง แต่มันเป็นแบบนี้ได้คงเพราะโชคชะตาสร้างมา ผมนี่แหละ เกิดมาเพื่อมีมัน
ไปหาอะไรทำข้างนอกดีกว่า ที่นี่เบื่อละ
ผมเดินออกจากฝูงขยะนั่น ผ่านร่างคนมากมายที่นอนบนพื้น พวกนี้มันมีค่ากับผมแค่ตัวทดลองก็คุ้มค่ากับชีวิตมันละ ผมรู้สึกว่าผมหายใจคล่องขึ้น เดินได้ดีขึ้น ขยับตัวได้ไม่ลำบาก เหมือนกับได้เกิดใหม่ อยากจะร้องให้สุดเสียงไปเลยให้รู้ว่าตอนนี้ผมรู้สึกดีขนาดไหน ผมเริ่มออกวิ่ง วิ่งไปเรื่อยๆ วิ่งขึ้นบนถนนใหญ่ ตอนนี้มันมืดมากแล้ว รถราไม่ค่อยผ่านเท่าไหร่ ผมวิ่งอยู่ในเงามืดของตึกเก่าๆ ขณะวิ่งอยู่ก็เจอผู้หญิงคนนึงเดินอยู่ข้างหน้า เธอกำลังหันหลังให้ผม โอ... หุ่นเธอดีเหลือเกิน ใส่เสื้อเกาะอกสีดำนั่นช่างเหมาะกับหุ่นเพรียวๆนั่น ไหนจะกางเกงสีดำมันๆรัดๆสั้นๆนั่นอีก มันช่างโชว์ก้นงอนๆใหญ่ๆนั่นเหลือเกิน
อยาก..
อยากจะเอาควยไปแทงหีของอีนี่ว่ะ

        ว่าแล้ว เหมือนกับมันรู้ความคิดของผม มือขวาก็ยืดออกจากสภาพปกติกลายเป็นสาย5สายยาวๆ แต่เรียวเล็กทันทีที่ผมสะบัด ระยะห่างแค่นี้ไม่มีทางพลาด
“ว๊ายย”
ผมคว้าเข้าที่กลางลำตัว รู้สึกได้ถึงเนื้อผ้าที่ยุ่ยไปตามสัมผัส และหน้าอกหน้าใจขนาดย่อมของเธอ เล็กชิบหาย ยังไงก็ช่างแม่งเหอะ แค่เอาครั้งเดียวไม่เป็นไรหรอก เธอโดนผมคว้าเข้าและรวบมาไว้ที่ตัว พอมองดูใบหน้าก็ดูสวยดีนะ ขาวๆหมวยๆ จมูกเล็กๆ และสีหน้าตื่นตระหนก เอ...หน้ามันขาวธรรมชาติหรือขาวเพราะซีดวะ
“ยะ... อย่าทำ” สาวหมวยสุดซวยอ้อนวอนเสียงสั่น ผมขยับนิ้วยาวเรียวไปมาให้เธอเห็น ได้ผล กลัวยิ่งกว่าเก่า
“กูไม่ทำอะไรมึงหรอก แค่ขอชิมเล็กๆน้อย” ว่าแล้วผมก็ดึงเธอเข้าไปในซอกตึกแถวๆที่ผมอยู่
        พอเข้าซอกตึกได้ ผมก็จัดการใช้นิ้วอันแข็งแรงของผมฉีกผ้าเธอซะ มันช่างง่ายดายกับผ้าบางๆตามสมัยนิยมแบบนี้ ผมจัดการฉีกทั้งเสื้อและชั้นใน จนเห็นนมเล็กๆหัวนมสีน้ำตาลตรงนั้น และก็หีขาวๆอยู่ใต้หมอยกระจุกเล็กๆ ไม่ทันให้อีนี่ตั้งตัวหรอกนะ ผมจับขาแหกออกขณะที่นิ้วที่เหลือพยุงตัวเธอให้ลอยอยู่เหนือพื้น เธอออกแรงดิ้นอย่างไร้ค่าบนมือผม ยังกะลูกไก่ในกำมือเลย ผมก็แก้ของผมบ้าง ผมใช้มือซ้ายที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย (เพราะมันเป็นเฉพาะมือขวาข้างเดียว) ถอดเศษผ้าคลุมท่อนล่างออก แล้วผมก็ตกใจเมื่อเห็นขนาดท่อนเนื้อของตัวเอง
มัน..
มันยาวขึ้นและดำเมี่ยม ตรงปลายที่เคยเป็นดอกเห็ดสวยๆสีม่วงมันกลายเป็นตุ้มกลมๆมีหนามเล็กๆอยู่รอบๆ เหอะ!
นี่กูต้องแลกกับสิ่งนี้หรอเนี่ย ไหนลองซิว่ามันเป็นไง สาวหมวยเห็นท่อนเนื้อใหม่ของผมถึงกับตาเบิกโพลง เหมือนกับรู้ว่าต้องเจออะไร ผมไม่ปล่อยให้แกคอยนานหรอก
ผมบังคับท่อนเนื้อของผม(มันบังคับได้) ค่อยๆเลื้อยไปมาตามอากาศ มันยืดได้ไม่ต่างอะไรกับนิ้วของผมแล้วจ่อเข้ากับร่องสวรรค์ของสาวหมวย แล้วเอาตุ้มหนามเขี่ยไปมาตรงแคมและเม็ดแตดเบาๆ
“อึ๊ยยย   อาวววส์” สาวหมวยครางเอาซะอารมณ์ผมขึ้นเลย อย่างแม่งต้องตอบแทนให้สาสม
ซวบบบบ
“อ๊ากกก...” สาวข้างทางแกโดนผมทะลวงเข้าไปทีเดียวถึงกับร้องออกมาเสียงดัง ดวงตาเล็กๆของเธอเบิกโพลงเท่าที่จะโตได้  ผมไม่สนใจหรอก เพราะมันสร้างความรู้สึกเสียวให้มากกว่าจะสงสาร
“แน่นดีนะมึง อูย” ผมครางมาบ้างแล้วออกแรงซอยท่อนเนื้ออย่างรวดเร็ว รู้สึกได้เลยว่ามันครูดเนื้อข้างในของเธอในขณะที่มีน้ำออกมาชโลมท่อนเนื้อของผมจนลื่น  อ้อ กลิ่นคาวเลือดด้วยหรอ คงไม่ใช่เปิดซิงหรอกนะ
ขณะที่ผมซอยอยู่หญิงสาวผู้โชคดีก็ร้องด้วยความเจ็บไม่หยุดหย่อน จนผมต้องเอานิ้วยัดเข้าไปในปากเพื่ออุดเสียงไม่ให้เล็ดลอด แกน้ำมูกน้ำตาไหลไม่หยุด ดวงตาแดงๆ มันทำให้ผมเสียวมากเลย ไม่เคยข่มขืนใครครั้งไหนจะเสียวเท่านี้
ผมซอยอยู่อีกสักพัก ความรู้สึกมันก็บอกว่าจะเสร็จแล้ว มันรู้สึกมันส์และคันยุบยับไปทั่วท่อนเนื้อ รู้สึกได้เลยว่าพร้อมจะฉีดน้ำเข้าไปแล้ว ขอซอยอีกนิด
ขยับอีกนิด
อีกนิด
อ่ะ

“ฮ๊า....” ผมครางเสียงดังพร้อมกับฉีดน้ำเชื้อเข้าไปในโพรงหีสาวหมวยอย่างแรง มันแรงราวกับเปิดก๊อกน้ำฉีดสายยางให้สุดแรงแล้วเอามืออุดมันไว้ไม่ให้หมด น้ำของผมออกแรงมากจนสาวน้อยกระตุกเฮือกๆ และน้ำมันก็ทะลักออกมาจากหีทั้งๆที่ท่อนเนื้อของผมยังคาไว้อยู่
มันรู้สึกดีๆจริงๆ
แต่ไม่พอว่ะ
ขอต่ออีกแล้วกัน 
จังหวะนั้นท่อนเนื้อของผมไม่ได้อ่อนตัวแต่อย่างใด ผมเริ่มซอยต่อ ร่างของหญิงสาวที่ผมเจอก็ขยับตามแรงอีกครั้ง แกร้องด้วยเสียงแหบแห้งตาเหลือกกลอกไปมาดูแล้วเงี่ยนชิบ คืนนี้กูขอเย็ดกับมึงเรื่อยๆแล้วกันนะ ฮ่าๆ


จบตอนพิเศษ 9.6: ได้มา อ่านต่อตอนที่ 10 นะครับ

(ตอนแรกกะจบในตอนเดียว แต่มันดันแต่งซะยืดยาวซะงั้น ตอนหน้าหนูอลิสกลับมาแล้วนะครับ ใครคิดถึงก็ติดตามได้นะครับ  ติชมได้นะครับ )

จิตอิสระ บทที่ 2:แปรผกผัน ตอนพิเศษ9.5 : ไขว่คว้า โดย อิสระ

จิตอิสระ บทที่ 2:แปรผกผัน ตอนพิเศษ 9.5: ไขว่คว้า โดย อิสระ
ชั่ววินาทีเดียวที่ความใคร่หื่นกระหายเข้าครอบงำ ผมพุ่งเข้าไปจะคว้าตัวหญิงสาวรูปงามลูกเศรษฐีอัญมณีแล้วจะจัดการซะ ขอแค่ให้จับได้เท่านั้น ผมก็จะได้จัดการสมใจตรงนี้โดยไม่มีใครกล้าทำอะไรผมได้ละ
...แค่ช่วงมือเดียวเท่านั้นเอง...
…ทำไมถึงคว้าเอาไว้ไม่ได้วะ...


“เฮือกกกกกกก...” ผมหายใจเข้าเต็มปอดอย่างแรง ขณะที่ยกหัวตนเองด้วยสติเลือนรางให้พ้นจากผิวน้ำ แล้วพลิกตัวเองมานอนหงาย หายใจรัวอย่างเหน็ดเหนื่อย
ที่นี่มันสลัมแถวไหนผมก็ไม่รู้จัก ไม่นึกว่าในเมืองเจริญแบบนี้จะมีซอกแห่งความอุบาทว์อยู่ด้วย แล้วผมมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าไม่น่าไปหาเรื่องพวกสวะนั่นเลย ลองคลำดูตามเนื้อตัวแล้วก็ไม่เจออะไรสักอย่าง อืมม โดนรูดไปหมดละ 
ผมยันตัวลุกขึ้นมาอย่างเหนื่อยล้า แล้วเดินออกจากริมน้ำครำด้วยเท้าเปล่า...มึนหัวไปหมด จำได้ก่อนมาที่นี่ว่าโดนระเบิดใส่หน้าก่อนที่จะคว้าลูกสาวไอ้แก่นั่นได้ แต่มันไม่ยักกะเจ็บแฮะ... ผมลูบใบหน้าเบาๆก็พบแต่เศษกรวดที่ติดมาตอนนอนอยู่ริมน้ำ แต่ใบหน้าไม่มีรอยแผลอะไรเลย ไม่มีเลือด และก็เย็นจนไม่มีความรู้สึก 
ตอนนี้ก็มืดแล้ว ผมเดินไปตามซากบ้าน เพิงเก่าๆที่ทำจากสังกะสี หลายหลังมีเสียงเทียนสีเหลืองส่องแสงวูบวาบอยู่ภายใน และมีเสียงกระซิบกระซาบเล็กๆ ดังนานๆที จากหลังใดหลังหนึ่ง 
‘เดี๋ยวก่อนเหอะพวกมึง ไว้กูกลับบ้านเมื่อไหร่จะสั่งให้มาเผาให้เรียบ แล้วยึดที่ซะให้เป็นของกู’
ผมคิดด้วยความเคียดแค้น ขณะเดินออกไปยังถนนใหญ่ แสงสว่างสีเหลืองอำพันของหลอดไฟข้างถนนกระพริบติดต่อกันและส่องแสงริบหรี่ เสมือนความหวังและความสดใสของชีวิตที่กำลังจากหายไปเรื่อยๆ ลมหนาวที่แห้งแล้งและเยือกเย็นพัดปะทะร่างกายราวกับมันกำลังจะฉุดลากตัวผมให้ออกห่างจากแสงสว่างตรงนั้น ชีวิตของผมที่เคยเรืองรองมาก่อนทำไมตอนนี้มันดูไร้ค่าเหลือเกิน ชีวิตของคนทำไมมันไม่ต่างอะไรกับขยะข้างทางมาก เป็นเหมือนของที่มีราคามูลค่าสูง แต่พอใช้ไปจนหมดประโยชน์ ก็ถูกทิ้งไว้ในมุมมืด จะถูกฉุดกระชาก พาไปไหนไม่สามารถรู้ได้ 
ตอนนี้มันหนาวเหลือเกิน มันเปล่าเปลี่ยว... คิดถึงบ้านจัง... อยากอยู่บนเตียงนุ่มๆ มีไวน์องุ่นรสเลิศอยู่ในแก้วใสทรงโอ่อ่า รอบข้างมีสาวหน้าจิ้มลิ้มและจิ้มรังไข่คลอเคลียตลอด มีเสียงเพลงไพเราะคอยคลุกเคล้าบรรยากาศให้อบอวลไปด้วยมวลความสุข เติมให้อิ่มจนเต็มและล้นทะลัก อยากเหลือเกิน…
ผมรู้สึกชาที่ส่วนล่าง มันไม่มีความรู้สึก จนเหมือนว่าวิ่งไปก็ไร้ประโยชน์ พอหมดความรู้สึก... หยุดวิ่งดีกว่า ภาพของแสงไฟนั้นมันสูงขึ้นเรื่อยๆ จนหลอดไปนั้นเอียงกระเท่เร่ แล้วเศษดินมันก็เข้าปากผม
ผมหายใจเข้าอย่างเหนื่อยล้า หอบเอากลิ่นดินโคลนเหม็นๆเข้าไปด้วย ที่แท้แล้ว หลอดไปไม่ได้ล้ม หรือโลกเอียงแต่อย่างใด แต่เป็นผมเองที่ล้มลงเพราะเสียหลัก
‘ต้องลุกสิ แสงไฟอยู่ข้างหน้าแท้ๆ’
‘ลุกสิวะไอ้วิชิต จะได้ไปนอนเตียงนุ่มๆ แล้วกลับมาเผาหลืบเปรตนรกนี้ให้ไหม้ไปเลย’
ผมคิดจะลุกและทำตามนั้นจริงๆ
...
แต่ร่างกายมันไม่ทำตาม เหมือนว่าทุกอย่างไม่ได้อยู่ในอำนาจผมแล้ว แม้แต่ดวงตายังไม่เชื่อฟัง มันกำลังเลื่อนลงช้าๆ จะปิดแล้ว

จะปิดแล้ว

หรือว่าผมกำลังจะตาย???

ตายหรือ...
ไม่...
ผมไม่อยากตาย..

ภาพของความทรงจำล่าสุดกลับมา มันเป็นแสงริบหรี่ มันเป็นภาพของชายกระโปรงชุดราตรีสีฟ้า และมือขวาของผมกำลังเอื้อมมือไป   ทำไมไม่ถึงซักทีนะ ...
คว้าแม้แต่ชายผ้าไม่ได้เลยหรอ..
คว้าไม่ได้เลย..
ทำไม...
...
....
....

“ไอ้หนุ่มนี่ตายแล้วว่ะ ข้าว่า” เสียงแหบแห้งดังออกจากปากหยาบสีดำของชายแก่หัวล้าน ขณะเอาเท้าเขี่ยตัวร่างของชายหนุ่มชุดขาดรุ่งริ่งให้นอนหงาย ร่างนั้นไม่มีไหวติง ไหลไปตามแรงของชายแก่อย่างง่ายดายราวกับตุ๊กตาขาดคนบงการ
“แล้วจะเอามันไปฝังที่ไหนวะ “ เสียงอีกคนถาม ชายแก่หันมามองหน้าแล้วชี้ไปยังถังใส่ขยะขนาดใหญ่
“ข้าว่าเราช่วยกันยกไปไว้นั่นดีกว่า แล้วเอาขยะรุมๆใส่ไว้” ชายแก่ออกความเห็น แล้วลากขาร่างนั้นไปยังบริเวณที่มีขยะมากมายสุมกันอยู่ ส่งกลิ่นเน่าเหม็นตลบอบอวล
“ถึงศพจะเน่าเหม็นก็ไม่มีใครรู้หรอก แถวนี้มันเหม็นอยู่แล้ว”
“เออจริง เอ็งนี่คิดดีเนอะ” ว่าแล้วชายสองคนก็ยกแขน ขาร่างไร้วิญญาณขึ้น และเหวี่ยงลงไปในถังขยะขนาดใหญ่

ตึก...

ตึก ตึก
อา...
คว้าไว้...
จะคว้าไว้..

“กูจะคว้าไว้ให้ได้เลย” ผมตะโกนเสียงดังหลังจากภาพในหัวของผมมันผุดขึ้นมาอย่างประหลาดทั้งๆที่มันหมดสิ้นไปแล้ว แสงสว่างสีแสดสะท้อนไปมาอยุ่ในความคิด มันร้อนแรงและแผดเผาให้ใจที่มันหนาวเหน็บละลายหายไป เหมือนมันกำลังเข้ามาแทนที่ความหนาวเย็นที่เคยอยู่ จากนั้นพลังกาย และความรู้สึกทั้งหมดก็ฟื้นคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว 

โครม!!!
ผมกระโดดลุกพรวดออกมาจากถังขยะจนมันเสียสมดุลล้มตะแคงลงล่าง เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมาก็เจอชาย2ตนใส่เสื้อกล้ามสกปรกๆกำลังยืนมองผมอยู่ พวกนี้อีกแล้ว ผมเกลียดมัน ไปให้พ้นไป 
“ไปให้พ้นไป๊!!!” ว่าแล้วผมก็ตะโกนเสียงดังแล้วสะบัดมือออกไปราวกับจะไล่ความคิดนั้นออก พริบตา อะไรซักอย่างสีดำๆก็กวาดสองคนนั้นปลิวไปข้างๆอย่างแรง ผมตกใจรีบหันไปมองสีดำนั้น มันไวมากจนมองแทบไม่ทัน แต่ก็ต้องตกใจอีกครั้งมือมันติดอยู่กับมือของตัวเอง มันเป็นเหมือนหนวดปลาหมึกที่มีตะปุ่มตะป่ำรอบตัว มันยืดไปมาเหมือนมันมีความคิดเป็นของตัวเอง มันติดอยู่กับมือผม มันมีห้าสายกำลังสะบัดไปสะบัดมา มัน...
มันคือมือของผมเอง

จบตอนที่ 9.5 : ไขว่คว้า อ่านต่อตอนที่9.6 นะครับ
(ไม่นึกว่าจะยาว ขอตัดไปตอนพิเศษหน้าแล้วกัน เหอๆ  ติชมได้นะครับ )

จิตอิสระ บทที่ 2:แปรผกผัน ตอนที่ 9 โดย อิสระ

จิตอิสระ บทที่ 2:แปรผกผัน ตอนที่ 9 โดย อิสระ
“ขณะนี้ เราได้รับแจ้งข่าวมานค่ะ ว่าคุณอลิสสิตา เชาวกรกุล ลูกสาวคนเดียวของมิสเตอร์ริชมอนต์ แซมเมอร์สัน ซึ่งเป็นประธานและผู้ก่อตั้งบริษัทRSD (ริช แอนด์ แซม ไดมอนด์ฯ) ได้กลับมายังที่พักด้วยตัวเองเมื่อเช้านี้ท่ามกลางความสงสัยของคนในบ้านมากมายค่ะ หลังจากที่หายตัวไปตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อคืนนี้ เบื้องต้นทราบมาว่าคุณอลิสสิตาเดินทางกลับมาโดยแท็กซี่และมีอาการอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด และดวงตาเหม่อลอยไม่พูดกับใครทั้งนั้นค่ะ หากมีรายงานเพิ่มเติมทีมงานข่าวของเราจะรายงานให้ทราบทันทีค่ะ ขอบคุณค่ะ”
        สิ้นเสียงประกาศในทีวี ภาพก็ตัดเข้าโฆษณายาสระผมยี่ห้อดัง เห็นดังนั้นอลิสสิตาก็กดรีโมทปิดทีวีแล้วลงนั่งบนที่นอนตนพร้อมถอนหายใจ
“พ่อไปไม่บอกซักคำ แล้วอลิสต้องไปเคลียร์ข่าวด้วย ไหนคืนนี้จะมีออกงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อีก จะทำยังไงดี” เธอรำพึงเบาๆขณะจ้องมองเพดานสีขาวที่ตกแต่งด้วยบัว(บัวคือปูนปั้นที่ไว้ประดับตกแต่งผนังและเพดาน) ลายกลีบดอกไม้กระหวัดซ้อนกันไปมาตามแนวฝ้า ถัดมาด้วยเหล่าเทพยดาตัวน้อยเปลือยกายตามแบบฉบับของโรมัน กำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน 
‘ขณะที่เจ้ากำลังรำพึงอยู่ เจ้าก็รู้อยู่มิใช่รึ ว่าควรทำสิ่งใด’ เสียงดังขึ้นในใจเธอ นั่นคือเสียงของเจนนู เดมิก๊อดที่อาศัยอยู่ในร่างเธอ และสร้างอวัยวะของตนออกมาครอบตัวเธอไว้เหมือนกับชุดรัดรูป เจนนูสามารถรู้ถึงความคิดความทรงจำเธอได้ทุกอย่าง และสามารถบังคับร่างกายเธอได้ด้วยยามเธอหมดสติ ราวกับว่าตอนนี้ตัวเธอมีผู้ควบคุมถึง2 แต่เธอเป็นเจ้าของ จึงเป็นผู้ควบคุมหลัก แต่ก็ไม่เสมอไป เธออาจจะถูกเจนนูรุกรานเธอได้เหมือนกันอย่างเมื่อตอนเช้า ซึ่งเธอก็ไม่ปฎิเสธเท่าไหร่ เพราะมันเป็นความสุขที่เธอไม่เคยได้รับมาก่อนในชีวิต ใจเธอลึกๆก็อยากได้ความสุขแบบนั้นอีกครั้ง แต่คงไม่ใช่ตอนนี้
“ใช่ อลิสรู้ แต่อลิสแค่อยากพูดออกมาเฉยๆ เหมือนทุกอย่างในชีวิตของอลิสถูกบงการตลอดเวลา ไม่มีเวลาที่จะได้ออกจากกรงนี้เลย” สายตาอลิสสิตาออกแววซึมเศร้า เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย มองเสื้อยืดสีดำประดับด้วยดอกไม้เล็กๆสีขาวของเธอ เสื้อคอกว้างรูปตัววียาวถึงไหล่และพับออกข้าง เผยแผ่นอกสีขาวสวยไร้จุดด่างดำ และรัดรูปน้อยๆพอให้เห็นทรวดทรงอันเครียดรัดกระชับสัดส่วนของเธอ ต่อมาด้วยกางเกงแสลดของผู้หญิงสีดำบานช่วงเอวเป็นกลีบเพื่อซ่อนความอวบอัดของเอวให้ดูกลมกลืนก่อนจะจบลงที่ปลายเท้าที่มีถุงน่องสีขาวสวมอยู่ อันเป็นชุดทำงานปกติของเธอ
เจนนูรู้สึกเห็นใจ เพราะที่เขาเห็นจากในความทรงจำ ชีวิตของเธอก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ชีวิตที่เดียวดาย และไม่มีอิสระตลอดมา
ก๊อกๆ
        เสียงเคาะประตูดังขึ้น อลิสสิตาลุกขึ้นยืนทันทีและจัดระเบียบเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อยก่อนบอกอนุญาตให้เข้ามาได้ ชายหนุ่มผิวเข้มผมตั้ง ร่างกายแข็งแรงตามแบบฉบับชายชาติทหารในชุดสูทสีดำเดินเข้ามาก่อนพูดด้วยเสียงเข้มแต่ไม่ดังมาก
“ คุณอลิสสิตาเป็นอย่างไรบ้างครับ สบายดีรึเปล่าครับ?”
“เราไม่ได้เป็นอะไรหรอก ไม่ต้องห่วงค่ะเอก” อลิสสิตาตอบกลับอย่างคุ้นเคย เอก หรือนายเอกพันธ์ เป็นการ์ดประจำตัวของ อลิสสิตา เชาวกรกุล ซึ่งได้รับการชุบเลี้ยงจากนายริชมอนต์ตั้งแต่สมัยยังเด็ก เขาจึงเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์และวางใจได้ของครอบครัวเลยทีเดียว และเพราะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับอลิสสิตา ริชมอนต์เลยให้เขามาเป็นการ์ดส่วนตัวให้กับเธอ เพื่อที่จะได้ลดความห่างชั้นและลดความเครียดของอลิสสิตา
“แต่ได้ข่าวว่าคุณอลิสสิตาอยู่ในเหตุการณ์ระเบิด ขนาดคนรอบข้างยังบาดเจ็บ แล้วไหนจะคุณวิ...”
“เราไม่เป็นอะไรจริงๆ” อลิสชิงตอบตัดบทด้วยระดับเสียงที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยและใบหน้ายิ้มแย้ม เอกพันธ์รู้เป็นอย่างดีว่าเธอแกล้งทำเพื่อตัดบท ซึ่งเขาก็ไม่คิดจะถามเพิ่ม
“ครับ งั้นเดี๋ยวผมจะแจ้งตารางเวลานัดหมายวันนี้ให้ฟังคร่าวๆนะครับ วันนี้เวลา12.30 น. คุณอลิสสิตามีนัดประชุมแจ้งเรื่องการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งประธานบริษัทซึ่งเอกสารจะอยู่ที่...” 
        อลิสสิตานั่งฟังพอรู้นัดหมาย เมื่อเอกพูดจบก็ขอตัวลงไปรอชั้นล่าง จากนั้นอลิสสิตาก็จัดแจงเก็บของใส่กระเป๋าของเธอ และตามลงไป
“วันนี้คุณอย่าผลีผลามทำอะไรอลิสนะคะ” อลิสสิตาพูดครับเจนนูก่อนจะปิดประตูห้อง
‘ได้ ข้าเข้าใจ แล้วเราค่อยมาสนุกกันหลังจากจบงาน’ เจนนูพูดทิ้งท้ายด้วยอารมณ์สนุก อลิสสิตารู้สึกเสียววูบทันที ช่องคลอดของเธอกระตุกและบีบตัวเล็กน้อย ใบหน้าแดงระเรื่อแล้วรีบเดินลงไปชั้นล่าง
“บ้า” เธอพูดเบาๆด้วยสีหน้ายิ้มเขินอาย นั่นทำให้เจนนูมีความสุขที่เขาทำให้เธอยิ้มได้บ้าง


เอกพันธ์
จบตอนที่ 9 ติดตามต่อ ตอนพิเศษ 9.5 นะครับ อิอิ

(ตอนที่ 9 นี่เลขสวยจริงๆ คุณว่ามั้ย ผมว่าสวยดีๆ อิอิ ตอนหน้า9.5จะเป็นเนื้อหาค่อนข้างแรงนะ ฮ่าๆ ไม่คิดว่าจะต้องเพิ่มตอนนี้ แต่ติดตรงความต่อเนื่องของเนื้อเรื่องเลยต้องตัดมาเป็นตอนพิเศษ ติดตามนะครับ อิอิ ติชมได้นะครับ )

จิตอิสระ บทที่ 2:แปรผกผัน ตอนที่ 8 โดย อิสระ

จิตอิสระ บทที่ 2:แปรผกผัน ตอนที่ 8 โดย อิสระ

-ขณะเดียวกัน ที่อีกฝั่งของเมือง-
“โอยยย”  
วิชิต ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าสัวที่ดินยันตัวเองลุกขึ้นอย่างอิดโรย เสื้อสูทชั้นดีสั่งตัดจากเมืองนอกขาดหลุดลุ่ยไม่เหลือสภาพเดิม ราวกับเป็นเพียงผ้าขี้ริ้วไว้ห่อหุ้มร่างกายอย่างลวกๆ รองเท้าของเขาหายไปแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ แต่สภาพรอบข้างที่เขาอยู่ตอนนี้คือดงสลัมที่มีแต่เพิงสังกะสี และคนมากมายนั่งมุงดูเขาอยู่ แต่งกายเนื้อตัวมอมแมมสกปรก เด็กตัวเล็กๆเนื้อตัวเปื้อนน้ำมันวิ่งไปมาล่อนจ้อน เกิดมาเขาไม่เคยเห็นว่ามีสถานที่แบบนี้อยู่ในเมืองกรุงแสนศิวิไลซ์นี้ ราวกับมาเขามาอยู่คนละโลกกับที่เขาเคยอาศัย
“มองไรวะ แม่งง มึงมีปัญหาไรป๊ะ” วิชิตออกอาการนักเลงตามสันดานตน เมื่อหันไปเห็นกลุ่มชายสองสามคนกำลังนั่งในวงเหล้าแล้วหันมามอง
“ไอ้หนุ่ม เอ็งพูดดีดีนา พวกข้าอุตส่าห์พาเอ็งมาจากน้ำครำ แล้วแบกมานอนที่นอนดีๆให้” ชายแก่ในวงเหล้าโพล่งออกมา
“นี่เหรอะวะ ที่นอนดีๆของเอ็ง” วิชิตตะคอกกลับ และชี้ไปยังฟูกเก่าๆขาดเล็กน้อย ก่อนเหยียบย่ำด้วยเท้าเปล่า “แม่งง ให้หมากูนอนยังไม่เอาอ่ะ ทุเรศชิบหาย” 
        ทันทีที่พูดจบ ร่างของวิชิตก็ปลิวไปตามแรงหมัดอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างจากเขาเป็นคนปล่อยหมัดออกไป แล้วทันทีที่วิชิตล้มลง กลุ่มชายที่นั่งกินเหล้าก็เดินเข้าไปซ้ำทันที
“ไอ้นี่ ให้นอนดีๆไม่เอา มึงนอนไปอีกรอบแล้วกัน” ชายแก่คนเดิมพูด แล้วย่ำรองเท้าบู๊ทสีน้ำตาลเก่าๆลงใบหน้าของวิชิตอย่างแรง
“อ๊ออก” วิชิตร้องด้วยเสียงไม่เป็นผู้เป็นคน ก่อนหลับลงไปอีกครั้ง แล้วเขาก็ถูกโยนลงไปในน้ำครำตื้นๆริมขอบน้ำขังดังเดิม

-*-*-
-*-*-*-
-*-*-*-*-
‘อลิสสิตา’
-*-*-*-*-*-*-*-*-
‘อลิสสิตา ตื่นเถิด’
        อลิสสิตาได้ยินเสียงนุ่มลึกอย่างเลือนราง แล้วค่อยๆขยับกายยันตัวลุกขึ้น เธอยังคงอยู่ในชุดแนบเนื้อสีดำดังเดิม เธอไม่ได้ฝันไป นี่คือความจริงที่มีเสียงประหลาดและชุดสีดำห่อหุ้มตัวอยู่ แล้วเธอเริ่มสังเกตความเปลี่ยนแปลงรอบตัว เธอไม่ได้อยู่บนพื้นหญ้า และสถานที่ไร้ผู้คนไกลตัวเมืองดังเดิม ตอนนี้เธออยู่บนที่นอนแสนนุ่มสีขาวสะอาดและในห้องสวยงามตกแต่งสไตล์โรมันอย่างดี ซึ่งก็คือห้องนอนเธอเอง ไม่ทันที่เธอจะได้สงสัย เสียงในหัวของเธอก็ตอบทันที
‘ข้าเห็นว่า เจ้าไม่ได้สติ และร่างกายอ่อนเพลียด้วยหลายๆสาเหตุ จึงพาเจ้ามายังที่พักของเจ้าด้วยตัวข้าเอง’ เจนนูอธิบายแล้วกำหนดจิตตนเอง ใส่ภาพความทรงจำที่เกิดขึ้นไม่นานนี้เข้ามาในศีรษะ พริบตา ภาพเรื่องราวเหตุการณ์ทั้งหมดก็เข้ามาในสมอง อลิสสิตา ในการควบคุมของเจนนู ลุกขึ้นจากพื้นหญ้าราวกับหุ่นยนต์ แล้วเดินตรงไปยังแท็กซี่อย่างรวดเร็ว ออกคำสั่งและเมื่อถึงคฤหาสน์ริชมอนต์ ก็เดินเข้ามายังที่พักโดยไม่สนใจสายตาคนรับใช้รอบข้าง ก่อนเข้าห้องตนเองปิดประตูห้องนอนไม่ให้ใครรบกวน
“แล้วตอนนี้เวลาเท่าไหร่แล้ว?” อลิสสิตาถาม หลังจากเรียบเรียงเรื่องราวได้แล้ว
‘11นาฬิกา ตามเวลาของโลกเจ้า GMT+7.00 ใช่หรือไม่?’
“อืม แล้วอลิส... จะต้องอยู่กับคุณเอ่อ... เจนนูไปถึงเมื่อไหร่?” อลิสสิตาถามต่อขณะที่เธอนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดก่อนเธอหลับไป
‘จนกว่าข้าจะสร้างร่างหยาบได้โดยไม่ต้องอาศัยเจตนารมณ์ในการดำรงอยู่ของเจ้า’
“จะ.เจต. ห๊ะ?” อลิสเอียงหน้าสงสัย หากใครมาเห็นเธอในตอนนี้คงต้องเห็นเธอกำลังพูดกับตนเองอยู่แน่ๆ
‘ทุกชีวิตมีความต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ และเมื่อมี จึงเกิดพลังงานละเอียดที่คอยสร้างความคิดและกระแสชีวิตไหลไปมาตลอดเวลา ซึ่งนั่นก็คือเจนารมณ์ในการดำรงอยู่’ เจนนูอธิบาย แต่อลิสสิตายังไม่หายสงสัย แต่เธอก็ไม่คิดจะถามต่อ มันคงยากสำหรับเธอในตอนนี้ที่เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมายภายในคืนเดียว
“แล้วพ่ออลิส...” จู่ๆเธอก็นึกถึงพ่อตนเองขึ้น ทั้งที่เธอไม่คิดจะสนใจเขามาก่อน แต่เธอรู้สึกได้ก่อนจะหมดสติไปว่า พ่อของเธอลอยเฉียดตัวเธอแล้วหายออกไปอย่างรวดเร็ว
‘ริชมอนต์ แซมเมอร์สัน เสียชีวิตกะทันหันด้วยโรคระบบหายใจล้มเหลวเมื่อคืนนี้ ข้าเสียใจด้วย’ เจนนูตอบด้วยเสียงราบเรียบ ความรู้สึกอลิสสิตาเหมือนกับจังหวะหัวใจเธอขาดหายไปหนึ่งช่วงอ่างไร้สาเหตุ ราวกับมีใครมาขโมยลมหายใจของเธอช่วงนั้นไปอย่างไร้ร่องรอย อลิสสิตานึกถึงภาพเก่าๆที่มีชายหนุ่มหน้าตาใจดียินเคียงคู่กับแม่ซึ่งอุ้มเธอไปไหนมาไหน ภาพนั้นคือความทรงจำที่ดีครั้งสุดท้ายระหว่างเธอกับพ่อ น้ำใสๆเอ่อออกมาจากขอบตาช้ำๆ ก่อนหยดลงบนชุดรัดรูป
“พ่ออลิส เคยรักอลิสมากที่สุด” อลิสสิตากล่าว น้ำเสียงสั่นไหว แล้วเอามือปาดน้ำตาออกจากใบหน้า ก่อนค่อยๆลุกออกจากที่นอน จากนี้ไปเธอต้องปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่างในบริษัทแทนบิดาตนเอง สิ่งที่แม่และพ่อของเธอเพียรสร้างมาต้องไม่สูญสลายไปเปล่าๆแน่ๆ อลิสสิตาคิดจะไปอาบน้ำจึงเดินไปหยิบผ้าขนหนูจากราวแขวนไม้สวยหรู แล้วพอหันมามองส่วนล่างก็เพิ่งนึกได้ ว่าเธอจะอาบน้ำได้อย่างไร?
‘เรื่องนั้นข้าเข้าใจ’ เจนนูพูด แล้วกำหนดจิตตนครู่หนึ่ง ร่างกายของตนก็ค่อยๆลดขนาดและซึมหายเข้าไปในร่างกายของอลิสอย่างช้าๆ ร่างกายขาวอวบปรากฏแทนที่สีดำที่หายไปจากร่างอลิสสิตาราวกับน้ำไหลลงท่อ หน้าอกอวบอิ่มคัพ D เผยออกมาอวดอากาศภายนอกพร้อมยอดปลายปทุมถันสีชมพูอ่อนสั่นไหวเล็กน้อย ถัดลงมาด้วยสะโพกองค์เอวที่โค้งเว้าได้สัดส่วนราวกับเทพบนสรวงสวรรค์ได้บรรจงปั้นร่างกายนี้ให้สวยงามเหมือนรูปสลักตามวรวิหารเทพทั้งหลาย ร่างกายสีขาวราวหยวกกล้วยเผยอวดสัดส่วนอันงดงามก่อนอลิสสิตาจะรีบเอาผ้ามาคลุมตัวอย่างรวดเร็ว ด้วยความอายกลัวใครมาเห็นเข้า แต่ไม่มีทางเป็นแน่ เพราะห้องของเธอนั้นปิดมิดชิดไม่มีทางได้เห็นจากภายนอก ก่อนอลิสสิตา เชาวกรกุลจะรีบเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

จบตอนที่ 8 อ่านต่อตอนที่ 8 นะครับ
(ตอนนี้เรื่องราวเริ่มชัดเจนแล้วนะครับ อิอิ ตั้งแต่ผมแต่งมานี่มีคนให้กำลังใจมากมาย อย่างไรก็ต้องขอขอบคุณทุกๆท่านนะครับ ก่อนแต่งนิยายแบบนี้ผมเคยแต่งแนวRPGมาก่อน แล้วเรื่องแนวนี้มาบ้าง แต่กับที่นี่ผมว่ายังมือใหม่อยู่ ขอความกรุณาด้วยครับ ^_^ ติชมได้นะครับ ขอบคุณ)

จิตอิสระ บทที่ 2:แปรผกผัน ตอนที่ 7 โดย อิสระ

จิตอิสระ บทที่ 2:แปรผกผัน ตอนที่ 7 โดย อิสระ
เจนนู เมื่อได้สถิตเข้าร่างของหญิงสาวโดยบังเอิญ เขาได้ใช้พลังงานของร่างกายเธอทั้งหมดเพื่อฝังร่างและสร้างร่างของตนด้วยเจตนารมณ์ในการดำรงอยู่ จึงทำให้เขาสามารถกำหนดรูปร่างออกมาภายนอกได้ เพื่อไม่ให้ร่างสถิตของเจนนูไม่ได้รับผลกระทบทางจิตใจมากเกินไป ตอนนี้เจนนูจึงแปรสภาพร่างกายตนเป็นดังชุดคลุมร่างกายของอลิสสิตา ซึ่งฝังรากประสาทเล็กจนมองไม่ได้จำนวนมากมายเข้าไปในตัวเธอ และยังต้องใช้จิตใจร่วมกับเธออยู่ เพราะเขารวมจิตเข้าไปกับอลิสสิตาไปแล้ว
หลังจากที่เขาสถิตรวมเข้าร่างอลิสสิตาได้ จึงบังคับร่างกายได้เมื่อเธอไม่มีสติ จึงพาเธอออกจากสถานที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็วในเวลากลางคืน จากนั้นก็เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างของโลกไปตามความทรงจำของร่างต้น ซึ่งนับว่าเขาคิดไม่ผิดเลยที่ตัดสินใจชั่ววูบเข้าร่างเธอ แทนที่จะเข้าอีกร่างที่อยู่ใกล้ แต่การระเบิดขนาดนั้นเต็มไปด้วยจิตละเอียดของเจนนู แรงระเบิดอาจทำให้จิตละเอียดของชายผู้นั้นเปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่ไม่สำคัญมาก เพราะเป็นผลกระทบขนาดเล็กเท่านั้น
เจนนู ได้ใช้เวลาแทบทั้งคืนเรียนรู้เรื่องราวของโลกมนุษย์และภาษา เขาไม่สามารถควบคุมร่างนี้ได้ทั้งหมดเหมือนดังเขารวมเข้ากับยานพาหนะ เพราะกายหยาบของเจนนูถูกทำลายจนหมดสิ้น ไม่เหลือความสามารถของการเกิดใหม่เลย เขาใช้เวลาที่เหลือหลังจากรับรู้ความเป็นไปของโลกเข้าสำรวจจิตใจของอลิสสิตา เชาวกรกุล ทำให้รับรู้ถึงความในใจที่แสนทรมานของเธอ และลึกลงไปอีก... ยังมีสิ่งที่เธอแอบปรารถนาอยู่ลึกๆ ซึ่งไม่มีใครรู้มาก่อน และเจนนูรูเดียงผู้เดียว
ร่างกายหยาบของเขาที่สร้างมาครอบร่างอลิสสิตาไว้ คือร่างกายของเจนนูจริงๆ ซึ่งหมายถึงเป็นอวัยวะของตนเอง และสามารถควบคุมได้ดั่งใจ 
อลิสสิตารู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของชุดสีดำมันเงา ตอนนี้มันลื่นมันราวกับเป็นน้ำมันลื่นๆ บริเวณเอวของเธอกำลังบีบรัดเบาๆเป็นจังหวะ เธอรู้สึกดีไม่น้อย ราวกับมีคนเอามือมาลูบเอวเธอ พร้อมกันนั้น ทรวงอกอันอวบอิ่มกำลังบิดวนไปมาราวกับกำลังถูกมือที่มองไม่เห็นคลึงวนอย่างแผ่วเบา
“ไม่นะ คุณ อย่าทำแบบนี้ อลิส...” อลิสสิตาร้องเสียงกระเส่า  นี่คือสิ่งที่เธอปรารถนาอยู่ในใจลึกๆ เพราะเธอขาดความอบอุ่นจากทุกคนรอบกายมานาน และถูกสิ่งเร้ารอบกายกระตุ้นตลอดเวลา แต่เธอไม่สามารถทำดั่งใจต้องการได้ เพราะคำว่า เชาวกรกุลค้ำอยู่
‘สิ่งนี้คือสิ่งที่เจ้าถวิลหาตลอดเวลา แต่เพราะชื่อเสียงของตระกูลเจ้าค้ำ ข้ารู้สึกเห็นใจยิ่ง’ เจนนูพูด ขณะเขากำลังเพลินกับร่างกายแสนวิเศษของมนุษย์ ร่างที่อวบอิ่มเต่งตึง หอมเย้ายวนเต็มไปด้วยเลือดเนื้อที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน เจนนูรู้สึกได้ว่าเขาเริ่มมีความรู้สึกแปลกๆที่ไม่เคยเกิดมาก่อน สัญชาตญาณบางอย่างที่เขาคิดว่าไม่มีทางมี กำลังผุดขึ้นมาราวกับฟองอากาศที่ดันโคลนตมหนาออกมาอย่างยากลำบาก ร่างกายที่ขาวราวหยวกกล้วยของเธอ ไหนจะปลายยอดอกอันอวบอิ่มที่เขาสัมผัสถึงเส้นประสาทอันวิเศษของอลิสสิตา มันทำให้เขารู้สึกสนุกกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า 
“อ๊ะ อย่าทำข้างล่าง” อลิสร้องเสียวหลงเมื่อรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่กำลังสอดเข้าไปในช่องคลอดของเธอ มันเรียวเล็ก และกำลังสอดเข้ามาเรื่อยๆจนชนเยื่อบางๆที่คั่นกลางทางเดินไว้ จากนั้นเจ้า “สิ่ง” ที่สอดแทรกเข้ามานั้นก็เบ่งตัวให้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย พร้อมผุดตุ่มเล็กๆมากมายรอบตัว
“ข้าเรียนรู้มากจากความคิดเจ้า ข้าไม่ได้สร้างจากจิตข้า ข้าสร้างจากแรงปรารถนาของเจ้า จงปล่อยตัวรับรู้ความสุขนี้เถิด อย่าได้กังวลเลย’ เสียงนั้นดูอบอุ่น ราวกับแสงอาทิตย์ที่สาดเขามาโอบล้อมร่างกายอลิสยามหนาวเหน็บไว้ เพียงเท่านั้นเธอก็ไม่ขัดขืนอะไรทั้งสิ้น ปล่อยทุกสิ่งให้เป็นไปตามแรงปรารถนาของตน ความรู้สึกซ่อนเร้นที่เธอต้องการกำลังจะเป็นจริง
“อา... อืม” เสียงใสๆหลุดออกจากอลิสสิตาอย่างไม่ได้ตั้งใจขณะที่ปลายยอดปทุมถันอันสวยงามทั้งคู่ของเธอกำลังถูกคลึงวนไปมาด้วยร่างของเจนนู พร้อมกับส่วนล่างนั้นกำลังสั่นไหวอย่างรวดเร็ว เจนนูรับรู้ถึงของเหลวภายในร่องของอลิสสิตา เขาลองใช้ประสาทการรับรู้ทั้งหมดพุ่งไปหามัน มันรู้สึกได้ถึงความหอมหวานที่ขับออกมาจากส่วนลึกของร่างกาย ราวกับเป็นน้ำทิพย์จากแดนสวรรคาลัย ชโลมจิตใจที่เหี่ยวเฉาเดียวดายให้กระปรี้กระเปร่าและคึกคัก เจนนูลองรับหยาดน้ำที่รินไหลจากร่องรักของอลิสเข้ามาในร่างกาย อืมมม มันช่างหวานและเอร็ดอร่อยเกินสิ่งใดจะเทียมทาน เจนนูรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่ตื่นตัวในจิตใจ เขากำลังมีอารมณ์สืบพันธุ์  สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตนิจนิรันดร์ของเขา ในขณะที่อลิสทนทานการรุกรานภายในช่องคลอดตนไม่ไหว ทิ้งตัวลงบนพื้นหญ้าเขียวสด และกึ่งนั่งกึ่งนอนเอามือยันกับพื้น กอดร่างตนเอง ใบหน้าของเธอที่ขาวสะอาดก็แต่งแต้มไปด้วยเลือดฝาดแดงระเรื่อ เม็ดเหงื่อผุดพรายทั่วใบหน้า ความรู้สึกเสียวซ่านสะสมมาจากทั่วร่างกาย มันกำลังทำให้เธอล่องลอยไปในสายธารแห่งความสุขจนลืมไปว่าอยู่ที่ไหน
“อลิส   เสียว  อ๊ะ อา... มันกำลังจะ...” เท้านั้น เธอก็กรี๊ดเบาๆ ราวกับว่าความสุขที่สุดยอดที่เธอไม่ได้รับมาก่อนในชีวิตกำลังถาโถมเข้ามาในร่างน้อยๆของเธอ เธอบิดเกร็งร่างกายอย่างรุนแรง ช่องคลอดบีบรัด “สิ่งนั้น”อย่างรุนแรง แล้วอลิสสิตาก็ทิ้งตัวลงกับพื้น ก่อนถอนหายใจเบาๆ และหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน

จบตอนที่ 7 ติดตามต่อ ตอนที่ 8 นะครับ 

(ต่อบทต่อไปเด้อ อิอิ ติชมได้นะครับ ขอบคุณ)

จิตอิสระ บทที่ 2:แปรผกผัน ตอนที่ 6 โดย อิสระ

จิตอิสระ ตอนที่ 6 โดย อิสระ
/-/-/-/-/บทที่ 2: แปรผกผัน /-/-/-/-/

        ริชมอนต์ แซมเมอร์สัน เดินทางจากประเทศอเมริกาบ้านเกิดเมืองนอนมาแสวงโชคยังสยามประเทศตั้งแต่สมัยตนยังหนุ่ม หลังจากเพียรอดทนสู้ชีวิตมาร่วม15ปี เขาก็สามารถก่อตั้งกิจการเครื่องประดับอัญมณีได้สำเร็จ โดยใช้ชื่อของตนเป็นชื่อสินค้าให้เลื่องชื่อลือนามไปไกล ซึ่งธุรกิจนี้เกิดขึ้นไม่นานหลังจากเขาตกลงแต่งงานกับดุสิตา หญิงสาวชาวไทยที่คบหาดูใจมากว่า 5 ปี และร่วมฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกันมา แต่เขากลับต้องเสียใจมากที่สุดเมื่อภรรยาอันเป็นที่รักต้องด่วนจากไปเมื่อ10ปีหลังจากที่เธอคลอดลูกสาวออกมา ตั้งแต่นั้นมา เขาไม่อยากให้ลูกรักต้องเกิดอะไรก็ตามที่ทำให้อยู่ในจุดเสี่ยงอันตราย และได้แต่โทษตนเองที่ไม่เอาไหน และไม่ใส่ใจสุดที่รักให้มากกว่านี้ แต่ไม่รู้เพราะอะไร ยิ่งเขาพยายามทำให้ลูกปลอดภัย ห่างไกลอันตรายและสร้างอนาคตที่ดีให้เท่าไหร่ ลูกกลับยิ่งเกลียดเขา และทุกอย่างยิ่งดูแย่มากขึ้นเท่านั้น วันนี้เขาพาเจ้าสัวเจ้าของที่ดินทำเลดีพร้อมลูกชายมาเพื่อให้ลูกเธอเลือก กลับไร้ค่าอีกเช่นเคย เพราะเธอดูจะไม่สนใจในสิ่งที่เขาพยายามหาให้เลย ซ้ำยังเสียมารยาทลุกขึ้นกลางโต๊ะอาหารแล้วออกไปนอกระเบียง ไหนจะเจ้าวิชิตที่มาเรียกเขาแบบสนิทสนมแบบนั้นอีก ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลยที่ริชไม่ยอมรับตัวลูกชายเจ้าสัวที่นิสัยต่ำทรามเช่นนี้
        ทันใดนั้นเอง ขณะกำลังสนทนาอยู่กับเจ้าสัว เขาก็ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้น มันดังราวกับเปลือกโลกใบนี้กำลังปะทุออกมาพร้อมกับลาวามากมาย ด้วยเสียงกึกก้องกัมปนาท ริชมอนต์ตกใจแทบสิ้นสติ และหนักยิ่งกว่าเดิม เมื่อรู้ว่ามันเกิดขึ้นตรงบริเวณระเบียงชมจันทร์
“ล... ลูกพ่อ” แค่นั้น ริชมอนต์ก็พูดไม่ออก ร่างกายของเขาแข็งทื่อราวกับถูกอากาศรอบตัวจับตรึงไว้ไม่ให้ไปไหน ลมหายใจหยุดไปชั่วขณะ ปอดหยุดทำงานเพราะเสียการควบคุม จังหวะนั้นเอง การลำดับลมหายใจเข้าออกของริชมอนต์เกิดขัดข้อง เขาไม่สามารถหายใจได้ ซ้ำน้ำในลำคอยังเข้าไปในหลอดลมเพราะระบบหายใจล้มเหลว
        ณ เวลานั้น ไม่มีใครมาสนใจมหาเศรษฐีผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการเครื่องประดับอีกต่อไป เพราะต่างคนต่างต้องเอาชีวิตตนเองให้รอด ริชมอนต์ แซมเดอร์สัน ชายชราผู้ยิ่งใหญ่ ประธานและผู้ก่อตั้งบริษัทริคแอนด์แซม ไดมอนด์ เกิร์ล ส์ เบสท์ เฟรนด์ก็หยุดลมหายใจ และนอนแน่นิ่งอยู่ใต้โต๊ะอาหารไม้สักสวยสดด้วยดวงตาเบิกโพลงแต่เพียงผู้เดียว...

-ชีวิตนี้ ข้าขออุทิศแด่ดุสิตา ยอดรัก และอลิสสิตา ยอดรักของข้า- ริชมอนต์เอ่ยขึ้นในใจขณะนี้แสงสว่างเจิดจ้าไปทั่ว แล้วแตกดับหายไป...


        เจนนู ไม่คิดว่าร่างของเขาที่สลายไปแล้วจะสามารถรักษาสภาพดวงจิตของเขาได้อยู่ เขาต้องหาสิ่งมีชีวิตใหม่เป็นที่สถิตร่าง แล้วเขาก็พบร่างของสิ่งมีชีวิตบนดาวโลกร่างหนึ่ง กำลังจ้องมองเขาอยู่ด้วยดวงตาสวยสดใส เขารู้สึกคุ้นหน้าค่าตาของมนุษย์คนนี้อย่างบอกไม่ถูก ด้วยอะไรก็ตามที่เขาไม่อาจรู้ได้ เขาก็ได้พุ่งเข้าร่างของเธอไปแล้ว

        ตามปกติ เดมิก๊อดเป็นเผ่าพันธุ์ที่เมื่อแตกดับแล้ว จะสามารถสร้างร่างจากซากของตนได้ด้วยตนเอง แต่เจนนูถูกปรสิตทำลายร่างของตนไปเรียบร้อยแล้ว จึงทำให้เขาต้องอาศัยร่างสิ่งมีชีวิตมากำหนดลักษณะเฉพาะของตนเองและใช้ร่างนั้นในการสร้างร่างเดมิก๊อดใหม่ เจนนูจึงจำเป็นต้องใช้ร่างอลิสสิตา และเข้าไปในตัวเธอเรียบร้อยแล้ว...

-รุ่งขึ้น-
        การพุ่งชนอาคารสูงใจกลางเมืองเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมากลายเป็นข่าวอึกทึกครึกโครมเพราะมันนำมาซึ่งการเสียชีวิตของเศรษฐีชาวอเมริกันและการสูญหายอย่างไร้ร่องรอยของอลิสสิตา ผู้สืบทอด และนายวิชิต ลูกชายเจ้าสัวที่ดินคนดัง ไม่มีวี่แวว และร่องรอยอุกกาบาตใดๆทั้งสิ้นที่จะบอกว่าอะไรเกิดขึ้น ทิ้งไว้แต่รอยไหม้ และพื้นหินขัดแตกกระจาย กระจกถูกแรงลมอัดกระแทกไม่เหลือสภาพสวยงาม แต่นาซ่านั้นยืนยันว่า เขาจับสัญญาณทางอากาศได้จริงๆว่ามีวัตถุจากนอกโลกพุ่งชน แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าคืออะไร เพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่วัตถุขนาดเล็กนิดเดียวจะทะลุชั้นบรรยากาศและยังหลงเหลือซากให้สามารถพุ่งชนทำความเสียหายได้ และไม่ทิ้งหลักฐานไว้
   ห่างออกไปจากจุดเกิดเหตุราว 1 กิโลเมตร เป็นเพียงป่าละเมาะใต้สะพานทางด่วนที่ถูกทิ้งให้รกร้างไม่มีใครสนใจ ร่างของอลิสสิตากำลังยันตัวให้ลุกขึ้นอย่างช้าๆ ทันทีที่เธอได้สติ เธอก็ต้องตกใจและมึนงงกับสภาพตนเอง คำถามนับร้อยวิ่งเข้ามาในสมองราวกับรถแข่งในสนามขับวนไปวนมาอย่างรวดเร็วและรุนแรง เธอจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากการพุ่งชน เธอไม่รู้ว่าทำไมชุดไหมสีฟ้าที่เธอใส่กลับกลายเป็นชุดรัดรูปสีดำสลักด้วยลวดลายประหลาดซึ่งเริ่มตั้งแต่บริเวณต้นคอไปจนถึงโคนขาอ่อน อีกทั้งเธอยังไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย และทำไมเธอถึงได้มาอยู่ที่นี่

‘ให้ข้าได้ตอบเจ้าด้วยเถิด แม่หญิง’ เสียงสุขุมนุ่มดังจากที่ไหนสักแห่งใกล้ๆเธอ อลิสสิตาพรวดพราดลุกขึ้นแล้วหันไปรอบข้างอย่างตกใจ และเมื่อพบว่าไม่มีใคร เธอก็ยังคงยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น แล้วหายใจช้าๆพยายามตั้งสติ
‘ข้าอยู่ที่นี่ ในจิตใจของเจ้า’ เสียงดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชัดเจนแจ่มแจ้ง อลิสสิตาจำเป็นต้องไปหาที่ไหนแน่นอน เพราะมันดังอยู่ในหัวของเธอ แต่หัวใจเธอดิ่งวูบลงไปดุจตกลงสู่เหว เมื่อรู้ว่า อะไรสักอย่าง กำลังอยู่ในร่างกายเธอ
‘ข้าชื่อเจนนู มาจากอมตะนครา อันเป็นอาณาจักรอันไกลโพ้นสุดจะคาดเดาสำหรับเจ้า’ ครั้งนี้เสียงเริ่มมั่นคง และอลิสสิตาเริ่มตั้งสติได้แล้ว เสียงนั้นยังพูดต่อ ‘ข้าเดินทางมาที่นี่เพื่อเสาะหาบางสิ่งที่ที่ของข้าไม่เคยเจอมาก่อน’ 
“แล้ว เอ่อ คุณมาอยู่ในหัวอลิสได้ไง” อลิสออกเสียงถาม เธอรู้สึกแปลกๆที่เหมือนกับตัวเองพูดอยู่คนเดียว
‘ข้าถูกบางอย่างทำร้ายร่างหยาบจนดับสูญก่อนถึงพื้นโลก ข้าจึงต้องหาร่างหยาบก่อนที่จิตจะแตกดับ ข้าจึงต้องอาศัยในร่างของเจ้า ข้าขออภัยที่ถือวิสาสะพาเจ้ามายังสถานที่นี้โดยไม่ได้รับอนุญาต และเข้าไปในความทรงจำของเจ้าบางส่วน’

“บางส่วน?” อลิสสิตาย้ำ เลิกคิ้วนิดหนึ่งอย่างตกใจ “ป...แปลว่า คุณอ่านใจอลิสได้”
‘เกือบคล้ายคลึง’ เจนนูตอบ ‘ข้าสามารถอ่านความทรงจำเจ้าได้เพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่เจ้ากำลังคิดนั้น ข้ามิอาจรับรู้ได้ จนกว่าจะถูกนำเข้ามาในส่วนของความทรงจำ ซึ่งใช้เวลาไม่นาน ราว 1นาที’ 
“แปลว่า คุณก็รู้หมดเลยสิว่าอลิสเป็นอะไรมายังไง แล้วสิ่งที่อลิสคิดนั้นเป็นอย่างไร” พูดเสร็จเธอก็สะดุ้งสุดตัว เพราะมีสิ่งที่เป็นความลับของเธออยู่ในความทรงจำด้วย
เจนนูเงียบได้ครู่เดียวก็พูดออกมา ‘เรื่องนั้นให้ข้าช่วยเจ้าแล้วกัน’
อลิสสิตาหน้าแดงก่ำแล้วร้องออกมาเสียงหลง “ไม่ อย่านะ”

ชุดรัดรูปสีดำ(แต่หาแบบมีรอยสลักไม่เจอ)
จบตอนที่ 6 ติดตามต่อตอนที่ 7 จ้า
(555+ แต่งมาจนถึงตอนที่ 6 ไม่มีอะไรเลย ตอนหน้านะ เจอแน่ ฮ่าๆ ติชมได้นะครับ ขอบคุณ)

จิตอิสระ บทนำ ตอนที่ 5 โดย อิสระ

จิตอิสระ บทนำ ตอนที่ 5 โดย อิสระ

-ก่อนเหตุการณ์ปะทะ  3 นาที-
“ยืนอยู่ตรงนี้มืดๆคนเดียว น้องอลิสไม่กลัวหรอจ๊ะ” เสียงแหลมๆหวานเลี่ยนของวิชิตทำลายความสงบเงียบ อลิสสิตาหันมาเผชิญหน้าลูกเจ้าสัวมองด้วยสายตาเรียบเฉย แล้วหันกลับไปมองดูท้องฟ้าต่อ
“แหม น้องอลิส ไม่ต้องเย็นชากับพี่แบบนี้ก็ได้ นี่ถือเป็นเกียรติอย่างสูงเลยนะ ที่พี่เดินออกมาหาน้องด้วยตนเอง ปกติแล้วพี่ไม่มีทางมาหาผู้หญิงก่อนเลยสักครั้งเดียวนะเนี่ย” วิชิตอวดด้วยเสียงอันภาคภูมิใจ ราวกับเขาเป็นแม่ทัพรับหน้าที่และมีเกียรติอย่างสูง
“ก็ ไม่จำเป็นต้องมาหาอลิสด้วยตนเองนี่คะ เพราะอลิสกลัวว่าอลิสจะทำให้คุณวิชิตเสียเกียรติอันทรงคุณค่าโดยเปล่าประโยชน์” เธอตอบทั้งๆที่สายตายังจ้องไปที่ท้องฟ้าต่อไป
นายวิชิต วรโชติเมธี ถึงกับเดือดดาลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะเขาไม่เคยได้รับการปฏิเสธอย่างรุนแรงและไร้เยื่อใยแบบนี้สักครั้งในชีวิต เขาโกรธจนรู้สึกได้ว่าใบหน้าตนเองนั้นร้อนขึ้น แต่แผนการที่พ่อเขาส่งตัวเขามาเพื่อฮุบสมบัตินับค่าไม่ได้ของตระกูลแซมเมอร์สันต้องล้มเหลวหากเขาเพลี่ยงพล้ำทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง นายวิชิตหายใจเข้าลึกๆอย่างช้าและเงียบ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับอารมณ์ได้ แล้วพยายามพูดต่อ
“โถ พี่ยอมเสียทุกอย่างในชีวิตแม้แต่ลมหายใจของพี่ พี่เพียงต้องการที่จะได้มาคุยกับน้องนะจ๊ะ น้องเห็นใจพี่บ้างสิ” 
“อลิสติดอยู่ในโลกแบบนี้มานานแล้วค่ะ คุณวิชิต” อลิสสิตารำพึงเบาๆ
“ละ...โลกอะไรจ๊ะ” วิชิตถึงกับงุนงงกับคำพูดเลื่อนลอยของเธอ แต่พยายามแสดงความสนใจ
โลกที่มีแต่คนใส่หน้ากาก โลกที่กว้างใหญ่แต่จิตใจกลับแสนคับแคบแบบนี้” 
เพียงเท่านั้น เธอก็เดินออกห่างโดยไม่แม้แต่จะหันมามองด้วยหางตา และนั่น ทำให้ความอดทนอดกลั้นของชายหนุ่มผู้ที่ถูกรายล้อมด้วยสาวสวยมากมายเพื่อสนองตัณหาอยู่เป็นประจำก็หมดความอดทน อลิสสิตาไม่สามารถรับรู้ได้ถึงความมุ่งร้ายของลูกชายเจ้าสัวเพราะเธอไม่ได้ใส่ใจ วิชิตกำมือแน่น จ้องมองไปยังชุดราตรีสีฟ้าที่รัดตัวหญิงสาวอยู่ ปลายผมสยายยาวจรดแผ่นหลังสีขาวสวยไม่หมด และบั้นท้ายกลมกลึงของเธอที่กำลังบิดไปมาเล็กน้อยตามจังหวะการย่ำเท้า เขาเดินตรงไป อย่างรวดเร็ว ด้วยสติสัมปชัญญะที่หมดสิ้น จึงไม่สามารถสังเกตถึงแสงสว่างที่ฉายพื้นหินอ่อนได้

ตูมมม!!!!

ทันทีที่เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้อง แสงสีแดงก็พุ่งวาบไปทั่วอาณาบริเวณเป็นวงกว้าง ร่างของวิชิตถูกแรงลมอัดกระแทกจนปลิวไปด้านหลังราวกับถูกฝ่ามือมหึมาซัดด้วยความแรง ร่วงหล่นหายจากระเบียงชมจันทร์ของภัตตาคารไป ส่วนอลิสสิตาเมื่อมองเห็นแสงสีแดงพุ่งเข้าหาตน ก็ได้แต่ยืนนิ่งมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตกใจ ร่างของเธอไม่ได้ถูกซัดกระแทกเหมือนวิชิต แต่กลับจมลงไปในพื้นอย่างรวดเร็วราวกับทะลุผ่านพื้นผิวน้ำ อลิสสิตารับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่กำลังเข้ามาในร่างกาย มันไม่ได้ร้อนและรุนแรงอย่างที่เธอคิด แต่มันกลับเจิดจ้าด้วยแสงสว่างสีเหลืองอ่อน ให้ความรู้สึกนวลตาทั้งๆที่ไม่ได้มอง อบอุ่นเหมือนอ้อมกอดทั้งๆที่ไม่ได้สัมผัสจริงๆ และสดชื่นเย็นสบายราวกับสายน้ำที่ไหลผ่านร่างกาย ก่อนที่สติสัมปชัญญะเธอจะดับวูบไป

จบตอนที่ 5[/-/-/-/-/-บทนำ/-/-/-/-/] ติดตามชมตอนที่ 6 [/-/-/-/-/บทที่ 2:แปรผกผัน/-/-/-/-/ ]ต่อนะครับ


พยายามหารูปแสงนวลจันทร์กับผู้หญิง แต่ไม่เจอ ฮ่าๆ

(รู้สึกสนุกมากเลยที่ได้เขียนบทนี้ ฮ่าๆ ติชมได้นะครับ ขอบคุณ)

จิตอิสระ บทนำ ตอนที่ 4 โดย อิสระ

จิตอิสระ ตอนที่ 4 โดย อิสระ

อลิสสิตาเดินไปยังที่นั่งข้างๆริชมอนต์ ผู้เป็นพ่อ กล่าวทักทายชายแปลกหน้าทั้งสองและค่อยๆย่อขาลงเพื่อนั่งเก้าอี้อย่างสำรวม นำมือทั้งสองประสานไว้บนตักอย่างเรียบร้อย แล้วลดสายตาลงต่ำไม่มองใครทั้งสิ้น
“เป็นอย่างที่ผมบอกมาทั้งหมด” ริชมอนต์เอ่ยขึ้น จนชายแก่หัวล้านต้องสะดุ้งเล็กน้อย แต่วิชิต ลูกชายเจ้าสัว ยังมองเธออย่างไม่เกรงใจสายตาใคร “ลูกสาวผมมรรยาทดี เรียบร้อย ทั้งสวย ฉลาด เป็นแม่ศรีเรือนได้ดี ทั้งหมดนี้ได้มาจากแม่ล้วนๆเลยนะ” ริชมอนต์พูดต่อ เจ้าสัวหันไปสะกิดลูกชายตนเองใต้โต๊ะ เขาจึงถึงหันกลับมาหาผู้พูด
“ท่านก็กล่าวเกินไป ผมได้ยินมาว่าคุณย่าบริเจท มีนัยน์ตาสีน้ำตาล หากไม่ได้จากฝั่งท่านแล้ว น้องอลิสสิตา จะมีดวงตาที่ดึงดูดใจกระผมอย่างนี้ไม่ได้เป็นแน่” นายวิชิตป้อนคำหวานโดยวิสาสะใส่คำเรียกแสดงความสนิทสนม นายริชมอนต์และอลิสสิตายังคงสีหน้าเรียบเฉย
“คุณวิชิตนี่ศึกษามาอย่างดีนะเนี่ย สงสัยว่าคุณคงพร้อมที่จะมาเป็นลูกเขยผมได้ทุกวินาทีเลยนะ ฮ่าๆ”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ฮ่าๆ”
การสนทนายังคงดำเนินต่อไปโดยที่ชายทั้งสามเป็นคนพูดซะเกือบทั้งหมด อลิสสิตาได้เพียงแต่พยักหน้ารับ แต่ขานตอบด้วยใบหน้าฝืนยิ้มเต็มทน อาหารมากมายได้นำมาเสิร์ฟจานแล้วจานเล่า ผู้ร่วมวงอาหารแต่ได้แค่นิดหน่อยก็สั่งเปลี่ยนไปเรื่อยราวกับไม่รู้คุณค่าของวัตถุดิบชั้นดีที่สรรหามาจากแดนไกลที่ไหน อลิสสิตาเบื่อ กับชีวิตที่อยู่ในกรงแบบนี้ เมื่อไหร่เธอจะได้ออกไปที่ไหนก็ได้ซักแห่ง ที่ไม่ต้องมีใครมาติดตามเธอ เธอต้องการความเป็นส่วนตัว เธออิจฉาผู้คนทั่วไปที่ต่างมีเวลาส่วนตัวอันมีค่าเหล่านั้น ต้องการที่ไหนก็ได้ในโลกที่เธอสามารถยืนได้และสามารถหายใจได้อย่างบริสุทธิ์ใจจริงๆ

-เราไม่ไหวแล้ว-
...
-เราอยากไปไหนก็ได้ที่มีแต่เราคนเดียว-
...
-เราไม่ต้องการสายตาเหล่านั้นที่คอยจับตามองตลอดเวลา-
...
-เราต้องการเป็นดังสายลมบริสุทธิ์-
...
-เราต้องการหลุดจากกรอบเดิมๆแบบนี้-

….
…..
……




“หนูจะไปละ”
สิ้นเสียงประกาศก้อง โดยที่ไม่มีใครเตรียมตัวเตรียมการได้ทัน สาวผมน้ำตาลลุกพรวดจากที่นั่ง ทำเอาส่วนต่างๆในร่างกายสั่นไหวอย่างรุนแรง ทรวงอกภายใต้ผ้าไหมสีฟ้าขยับเรากับถูกปลุกให้ตื่น ดึงดูดสายตาของทุกคนในห้องอาหารชั่วพริบตา และอลิสสิตาก็เดินออกจากโต๊ะอาหารไปยังด้านนอกทันที
“ลูกอลิส นั่นลูกจะไปไหน เกิดอะไรขึ้น” ริชมอนต์ถามด้วยเสียงสั่นเต๋มไปด้วยความตกใจและสงสัย แต่ไม่ได้รับการตอบรับใดๆจากลูกตน อลิสสิตาเดินออกไปยังระเบียงห้องอาหารและเดินหายไปลับตา
“ท่าทางอาจจะมีเรื่องอะไรเร่งด่วนนะครับคุณพ่อ เดี๋ยวกระผมขออาสาไปตามน้องอลิสให้”
ครั้งนี้นายริชมอนต์กลับมองวิชิตด้วยสีหน้ามพอใจ แต่พริบตาก็ตีหน้าเรียบเฉยกลบเกลื่อน พร้อมตอบกลับสั้นๆ 
“ไปสิ”
นายวิชิตลุกออกไปอย่างลิงโลดราวกับนักโทษได้รับการปล่อยตัว เขาก้าวเดินดุ่มๆออกไปโดยไม่เอะใจสักนิด ว่าทางเดินนั้นกำลังจะเปลี่ยนทุกสิ่งอย่างในชีวิตเขาทั้งปวง


-ณ ห้วงอวกาศอันห่างไกล-

เจนนู เดินทางด้วยความเร็วสูง พริบตาจากกาแล็กซี่ฟอร์แน็กซ์ เขาก็ทะลุมายังกาแล็กซี่ทางช้างเผือกอย่างรวดเร็วด้วยการพุ่งผ่านรูหนอนยักษ์ และอีกไม่กี่นาทีนี้เขากำลังจะพุ่งชนชั้นบรรยากาศ แมกเนโตสเฟียร์  ซึ่งต้องใช้สมาธิและกำลังพุ่งปะทะและทะลุให้ได้
“อ๊ากกกกกกกกกกกกก”
เจนนูร้องเสียงดัง ทันทีที่เขาเริ่มตั้งสมาธิรวมพลังไว้ที่กลางใจ เขารู้สึกได้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่พุ่งจากด้านหลังของตนเข้าสู่ศีรษะ ทันใดนั้นร่างกายอันทำจากโลหะพิเศษก็หลอมละลาย ราวกับถูกความร้อนแรงสูงแผดเผา ในวินาทีนี้ไม่มีเวลามานั่งคร่ำครวญหรือคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างดัดแปลงของตนเองแล้ว เจนนูเร่งตนเองให้แตะพื้นโลกให้เร็วที่สุด เพราะหากยังติดอยู่ในห้วงอวกาศที่ไม่มีสิ่งใดเจริญเติบโต ชีวิตเขาจะต้องดับสูญจริงๆเป็นแน่แท้
เมื่อผ่านชั้นบรรยากาศ อาการของเจนนูยิ่งทวีความรุนแรงเป็นเท่าตัว ร่างของเขาไม่สามารถประกอบและจัดทรวดทรงได้ ต่างระเกิดระเหยกลายเป็นกลุ่มก๊าซสีแดงเป็นทางยาว แต่จิตใจของเจ้าแห่งอาณาจักรยังมั่นคงไม่เปลี่ยนแปรแม้จะเจ็บปวดแค่ไหน เขากัดฟันบังคับตนให้เข้าไปยังจุดใดจุดหนึ่งของพื้นโลก และกำลังเข้าชนอย่างรุนแรง
.
..
...
....
.....



นั่นเป็นเวลาเดียวกับที่อลิสสิตากำลังมองไปยังแสงจ้าสีแดงกลางท้องฟ้าทะมึนทึบยามราตรี




จบตอนที่4 ตามต่อตอนที่5นะครับ

(กำลังจะผ่านช่วงบทนำแล้ว อย่าว่ากัน เพราะโครงเรื่องมันแน่นมากครับ ขออภัยติชมได้นะครับ ขอบคุณ)

จิตอิสระ บทนำ ตอนที่ 3 โดย อิสระ

จิตอิสระ ตอนที่ 3 โดย อิสระ

สายลมที่แผ่วเบาไหลพัดเอื่อยๆจากทิศเหนือครางเสียวหวีดหวิวเมื่อผ่านเหล่ายอดดอกหญ้าสีน้ำตาลอ่อนส่งให้มันโน้มยอดลู่ตามกระแสลมที่มาเป็นคลื่นระลอก ดุจดั่งมือของผู้คนมากมายทั่วสารทิศกำลังพัดโบกไปมาตามจังหวะดนตรีกลางสนามอย่างแผ่วเบา หากกระแสลมสามารถถอดความหมายเป็นเพลงได้ มันคงจะเป็นเพลงช้าที่อบอุ่น และขับกล่อมออกมาด้วยเสียงที่มีพลัง แต่สะกดให้ทุกสรรพสิ่งอยู่ในภวังค์แห่งความสงบได้

“ทำไมชีวิตของเราไม่สุขสงบเหมือนสายลมบ้างนะ” เสียงกระซิบที่ดังขึ้นในใจของอลิสสิตา หญิงสาววัยเบญจเพสซึ่งยืนมองกลุ่มใบไม้ที่หลุดร่วงออกจากลำต้น ถูกกระแสลมแผ่วเบาพัดพาทะลุผ่านกอหญ้า แล้วทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับกำลังโต้ลมเล่น มันช่างต่างกับชีวิตของเธอเสียจริง 
เธอคือ อลิสสิตา เชาวกรกุล ทายาทสาวผู้สถาปนาบริษัท ริคแอนด์แซม ไดมอนด์ เกิรล์ ส์ เบสท์เฟรนด์(Rick & Sam Diamond girl’s best friend) ซึ่งประกอบธุรกิจผลิต และค้าเครื่องประดับอัญมณีเกรดสูง ซึ่งก่อตั้งเมื่อ20ปีที่แล้ว และด้วยเนื้องานที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ ความสร้างสรรค์ และความบรรจงวิจิตร จึงทำให้ริคแอนด์แซม ไดมอนด์ เกิรล์ ส์ เบสท์ เฟรนด์ ก้าวสู่การเป็นผู้นำวงการเครื่องประดับคุณภาพต่อเนื่องมากว่า10ปี
“คุณอลิสสิตาครับ ได้เวลาแล้วครับ” เสียงเข้มดังจากด้านหลัง อลิสสิตากระพริบตาถี่ๆราวกับพยายามกลับมาสู่โลกปัจจุบัน แล้วรวบปอยผมที่หลุดออกจากการรัดมาไว้ที่หลังหู เธอก้มลงสำรวจชุดราตรีสีฟ้าอ่อนทำจากผ้าไหมอย่างดี และตวัดจีบผ้าบริเวญทรวงอกให้เป็นลายคล้ายกลีบดอกไม้ซ้อนกัน และจัดแจงสร้อยทองคำขาวขนาดเล็กและที่ตรงใจกลางลำคอขาวผ่องของเธอ มีอัญมณีไร้สี แต่กลับส่องประกายวาววับราวกับมันไม่ต้องการแสงจากภายนอกมาทำปฏิกิริยาสะท้อนแสงดังเช่นอัญมนีทั่วไป อลิสสิตาหันกลับหลังไป จ้องมองไปยังการ์ดของตนด้วยดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม แสร้งทำฉีกยิ้มเล็กๆด้วยริมฝีปากสีชมพูอ่อนสวยทรงกระจับ ก่อนเดินออกจากระเบียงหลังของคฤหาสน์ริชมอนด์ ที่พักอาศัยของเธอ พ่อ และเหล่าผู้คุ้มกันของพ่อทั้งหลาย
“ชั้นจะต้องเข้างานรับประทานอาหารมื้อนี้กับใครล่ะ” อลิสสิตาถามด้วยเสียงเรียบปกติ แต่ชายชุดดำผิวสีเข้มกลับจับอารมณ์ที่บ่งบอกความรู้สึกได้
“วันนี้คุณอลิสสิตามีนัดทานอาหารมื้อเย็นกับคุณวิชิต ลูกชายคนโตของเจ้าสัวภูชิตครับ
“อืม จะใครก็ช่าง ชั้นจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” พูดจบ เธอก็หยิบกระเป๋ามือถือสีครีมอ่อนบนโต๊ะ และโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ตามสมัยนิยมที่พ่อของเธอ คอยเฝ้าอัพเดทความทันสมัยให้เสมอๆ
ไม่นาน ราตรีที่ยาวไกลได้เริ่มคืบคลานครอบคลุมเมืองหลวงอันศิวิไลซ์ของคนไทย ชีวิตมากมายบนถนนที่แออัดกำลังเฝ้ารอคอยที่จะกลับถึงที่พักเพื่อจบชีวิตประจำวันของตนและเตรียมพร้อมที่จะเริ่มวัฏจักรชีวิตซ้ำซากของตนในวันต่อไป  อีกไม่น้อยเลยกำลังเริ่มชีวิตราตรีอันครื้นเครงและมีชีวิตชีวาด้วยจิตใจมุ่งหวัง และเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังความฝัน นี่คือเมืองหลวงของประเทศไทย เมืองหลวงศิวิไลซ์ที่ได้รับการยกย่องเป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยวกลางคืนที่สุดในโลกอันดับ 1 ด้วยความพร้อมในหลายๆด้าน โดยเฉพาะสถานบันเทิงยามราตรี จึงไม่แปลกที่จะสามารถครองตำแหน่งสูงสุดมาได้ง่ายๆ
ครู่ต่อมา อลิสสิตาก็ได้ก้าวออกจากรถเบนซ์ เอสคลาสสีดำเงางาม และออกเดินตามพรมปูทางสีแดงสด ล้อมรอบไปด้วยชายชุดดำมากมาย ที่คอยปิดช่องทางของสิ่งต่างๆที่จะก่อให้เกิดความอันตรายของลูกสาวเศรษฐีได้ อลิสสิตาเดินตามทางไปยังอาคารสูงเสียดฟ้าเบื้องหน้า ซึ่งตกแต่งตัวอาคารด้วยหินขัดมันสีดำทั้งตัวอาคาร ภายในประกอบไปด้วยส่วนประกอบที่เป็นหินอ่อนขัดมันและกระจกบานใหญ่เป็นส่วนใหญ่ ด้วยแนวคิดการตกแต่งสไตล์โมเดิร์นที่เน้นความเรียบง่ายที่สวยหรู เมื่อเดินมาถึงล๊อบบี้ เจ้าหน้าที่ประจำอาคารมากมายต่างยืนเข้าแถวรอตอนรับอยู่ริมทางเดินทั้งสองด้าน พร้อมยกมือไหว้เมื่ออลิสสิตาเดินผ่าน เธอยิ้มรับไหว้ของทุกคนตลอดแนวทางเดิน แต่กลับพบเพียงใบหน้าเรียบเฉยที่พยายามฝืนยิ้มให้มากที่สุด ซึ่งเธอรู้ดีว่าพวกเขาเหล่านี้ต้องมาเสียเวลายืนพนมมือค้างเพื่อเธอคนเดียว แทนที่พวกเขาเหล่านั้นจะได้กลับถึงบ้านไปหาครอบครัวหรือทำธุระใดๆตรงเวลา เธอไม่เคยถือโทษโกรธพวกเขาเหล่านี้เลย แต่กลับเป็นพ่อของเธอ ที่บงการทุกอย่างในชีวิตของเธออยู่ในกำมือ
อลิสสิตาขึ้นลิฟท์ส่วนตัวไปยังชั้นบนสุดของอาคาร เพื่อไปยังภัตตาคารชมจันทร์ อันเป็นภัตตาคารเลื่องชื่อของเหล่าผู้มีอันกินในละแวกใกล้เคียงนี้ ซึ่งเธอมาบ่อยอยู่แล้ว ไม่ใช่เพื่อทานอาหาร แต่มาเพื่อดูตัวกับลูกชายของเศรษฐีทั้งหลายไม่เคยซ้ำหน้าแม้แต่ครั้งเดียว อลิสสิตาไม่เคยพอใจสักครั้งที่มีการนัดทานอาหารเพื่อดูตัว ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนแต่ละคนต่างทำตัวกักขฬะ นิสัยหยาบช้า ไม่ได้เข้ากับฐานะของตนเอง บางคนก็อ้วนน่าเกลียด หลายคนก็เจ้าเล่ห์เพทุบาย หากพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้มีระดับฐานะทางการเงินสูงเสียดฟ้าล่ะก็ คงไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดาตามข้างถนนทั่วไป

“มาแล้วรึ ลูกรัก” เสียงสุขุมนุ่มแทรกเข้า ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออก อลิสสิตาเงยหน้าขึ้นมาสบตาผู้เป็นพ่อบังเกิดเกล้าอย่างช้าๆ มิสเตอร์ริชมอนด์ แซมเมอร์สัน ผู้เป็นทั้งบิดาแท้ๆและประธานบริษัทผู้ก่อตั้งริคแอนด์แซมฯ กำลังนั่งหันหน้ามาหาเธอ จ้องมองด้วยดวงตาสีฟ้าใส ใบหน้าสีขาวซีดและเหี่ยวย่นไปตามระยะเวลาและความเครียดจากการทำงานมาเกือบทั้งชีวิต เขานั่งอยู่กับชายอีกสองคนซึ่งกำลังหันหลังให้เธอ ทั้งสามสวมสูท ผูกเนคไทตามการแต่งกายแบบฉบับสากล แต่สิ่งที่ต่างกันคือขนาดรูปร่าง สีผิวและสีผม อลิสสิตาจ้องมองริชมอนด์ตาเขม็ง เธอเกลียดพ่อของเธอตั้งแต่หลังจากแม่เธอเสียชีวิตไปใหม่ๆ จากพ่อที่แสนดีและอบอุ่นที่รักเธอดั่งแก้วตากลับเย็นชา และผลักไสไล่ส่งให้เธอไปอยู่ในกรงทองสวยสดงดงามที่ใครก็มิอาจเอื้อมถึง และแม้แต่เธอก็ออกไปไหนไม่ได้เช่นกัน
- - ชีวิตที่มีเพียงลมหายใจ แต่ไร้ซึ่งความอบอุ่น - -
จบบทที่ 3 ติดตามชมบทที่ 4 ต่อนะครับ


อลิสสิตา เชาวกรกุล
(3บทแล้ว ยังไม่หวือหวาเลย ฮ่าๆ ช่วงนี้กำลังตามงานติดค้างอยู่ จะพยายามรีดงานให้ทันและแต่งให้ต่อเนื่องนะครับ      ติชมได้นะครับ ขอบคุณ)