สารบัญ จิตอิสระ โดย อิสระ

12 มีนาคม, 2555

จิตอิสระ บทที่ 2:แปรผกผัน ตอนพิเศษ9.5 : ไขว่คว้า โดย อิสระ

จิตอิสระ บทที่ 2:แปรผกผัน ตอนพิเศษ 9.5: ไขว่คว้า โดย อิสระ
ชั่ววินาทีเดียวที่ความใคร่หื่นกระหายเข้าครอบงำ ผมพุ่งเข้าไปจะคว้าตัวหญิงสาวรูปงามลูกเศรษฐีอัญมณีแล้วจะจัดการซะ ขอแค่ให้จับได้เท่านั้น ผมก็จะได้จัดการสมใจตรงนี้โดยไม่มีใครกล้าทำอะไรผมได้ละ
...แค่ช่วงมือเดียวเท่านั้นเอง...
…ทำไมถึงคว้าเอาไว้ไม่ได้วะ...


“เฮือกกกกกกก...” ผมหายใจเข้าเต็มปอดอย่างแรง ขณะที่ยกหัวตนเองด้วยสติเลือนรางให้พ้นจากผิวน้ำ แล้วพลิกตัวเองมานอนหงาย หายใจรัวอย่างเหน็ดเหนื่อย
ที่นี่มันสลัมแถวไหนผมก็ไม่รู้จัก ไม่นึกว่าในเมืองเจริญแบบนี้จะมีซอกแห่งความอุบาทว์อยู่ด้วย แล้วผมมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าไม่น่าไปหาเรื่องพวกสวะนั่นเลย ลองคลำดูตามเนื้อตัวแล้วก็ไม่เจออะไรสักอย่าง อืมม โดนรูดไปหมดละ 
ผมยันตัวลุกขึ้นมาอย่างเหนื่อยล้า แล้วเดินออกจากริมน้ำครำด้วยเท้าเปล่า...มึนหัวไปหมด จำได้ก่อนมาที่นี่ว่าโดนระเบิดใส่หน้าก่อนที่จะคว้าลูกสาวไอ้แก่นั่นได้ แต่มันไม่ยักกะเจ็บแฮะ... ผมลูบใบหน้าเบาๆก็พบแต่เศษกรวดที่ติดมาตอนนอนอยู่ริมน้ำ แต่ใบหน้าไม่มีรอยแผลอะไรเลย ไม่มีเลือด และก็เย็นจนไม่มีความรู้สึก 
ตอนนี้ก็มืดแล้ว ผมเดินไปตามซากบ้าน เพิงเก่าๆที่ทำจากสังกะสี หลายหลังมีเสียงเทียนสีเหลืองส่องแสงวูบวาบอยู่ภายใน และมีเสียงกระซิบกระซาบเล็กๆ ดังนานๆที จากหลังใดหลังหนึ่ง 
‘เดี๋ยวก่อนเหอะพวกมึง ไว้กูกลับบ้านเมื่อไหร่จะสั่งให้มาเผาให้เรียบ แล้วยึดที่ซะให้เป็นของกู’
ผมคิดด้วยความเคียดแค้น ขณะเดินออกไปยังถนนใหญ่ แสงสว่างสีเหลืองอำพันของหลอดไฟข้างถนนกระพริบติดต่อกันและส่องแสงริบหรี่ เสมือนความหวังและความสดใสของชีวิตที่กำลังจากหายไปเรื่อยๆ ลมหนาวที่แห้งแล้งและเยือกเย็นพัดปะทะร่างกายราวกับมันกำลังจะฉุดลากตัวผมให้ออกห่างจากแสงสว่างตรงนั้น ชีวิตของผมที่เคยเรืองรองมาก่อนทำไมตอนนี้มันดูไร้ค่าเหลือเกิน ชีวิตของคนทำไมมันไม่ต่างอะไรกับขยะข้างทางมาก เป็นเหมือนของที่มีราคามูลค่าสูง แต่พอใช้ไปจนหมดประโยชน์ ก็ถูกทิ้งไว้ในมุมมืด จะถูกฉุดกระชาก พาไปไหนไม่สามารถรู้ได้ 
ตอนนี้มันหนาวเหลือเกิน มันเปล่าเปลี่ยว... คิดถึงบ้านจัง... อยากอยู่บนเตียงนุ่มๆ มีไวน์องุ่นรสเลิศอยู่ในแก้วใสทรงโอ่อ่า รอบข้างมีสาวหน้าจิ้มลิ้มและจิ้มรังไข่คลอเคลียตลอด มีเสียงเพลงไพเราะคอยคลุกเคล้าบรรยากาศให้อบอวลไปด้วยมวลความสุข เติมให้อิ่มจนเต็มและล้นทะลัก อยากเหลือเกิน…
ผมรู้สึกชาที่ส่วนล่าง มันไม่มีความรู้สึก จนเหมือนว่าวิ่งไปก็ไร้ประโยชน์ พอหมดความรู้สึก... หยุดวิ่งดีกว่า ภาพของแสงไฟนั้นมันสูงขึ้นเรื่อยๆ จนหลอดไปนั้นเอียงกระเท่เร่ แล้วเศษดินมันก็เข้าปากผม
ผมหายใจเข้าอย่างเหนื่อยล้า หอบเอากลิ่นดินโคลนเหม็นๆเข้าไปด้วย ที่แท้แล้ว หลอดไปไม่ได้ล้ม หรือโลกเอียงแต่อย่างใด แต่เป็นผมเองที่ล้มลงเพราะเสียหลัก
‘ต้องลุกสิ แสงไฟอยู่ข้างหน้าแท้ๆ’
‘ลุกสิวะไอ้วิชิต จะได้ไปนอนเตียงนุ่มๆ แล้วกลับมาเผาหลืบเปรตนรกนี้ให้ไหม้ไปเลย’
ผมคิดจะลุกและทำตามนั้นจริงๆ
...
แต่ร่างกายมันไม่ทำตาม เหมือนว่าทุกอย่างไม่ได้อยู่ในอำนาจผมแล้ว แม้แต่ดวงตายังไม่เชื่อฟัง มันกำลังเลื่อนลงช้าๆ จะปิดแล้ว

จะปิดแล้ว

หรือว่าผมกำลังจะตาย???

ตายหรือ...
ไม่...
ผมไม่อยากตาย..

ภาพของความทรงจำล่าสุดกลับมา มันเป็นแสงริบหรี่ มันเป็นภาพของชายกระโปรงชุดราตรีสีฟ้า และมือขวาของผมกำลังเอื้อมมือไป   ทำไมไม่ถึงซักทีนะ ...
คว้าแม้แต่ชายผ้าไม่ได้เลยหรอ..
คว้าไม่ได้เลย..
ทำไม...
...
....
....

“ไอ้หนุ่มนี่ตายแล้วว่ะ ข้าว่า” เสียงแหบแห้งดังออกจากปากหยาบสีดำของชายแก่หัวล้าน ขณะเอาเท้าเขี่ยตัวร่างของชายหนุ่มชุดขาดรุ่งริ่งให้นอนหงาย ร่างนั้นไม่มีไหวติง ไหลไปตามแรงของชายแก่อย่างง่ายดายราวกับตุ๊กตาขาดคนบงการ
“แล้วจะเอามันไปฝังที่ไหนวะ “ เสียงอีกคนถาม ชายแก่หันมามองหน้าแล้วชี้ไปยังถังใส่ขยะขนาดใหญ่
“ข้าว่าเราช่วยกันยกไปไว้นั่นดีกว่า แล้วเอาขยะรุมๆใส่ไว้” ชายแก่ออกความเห็น แล้วลากขาร่างนั้นไปยังบริเวณที่มีขยะมากมายสุมกันอยู่ ส่งกลิ่นเน่าเหม็นตลบอบอวล
“ถึงศพจะเน่าเหม็นก็ไม่มีใครรู้หรอก แถวนี้มันเหม็นอยู่แล้ว”
“เออจริง เอ็งนี่คิดดีเนอะ” ว่าแล้วชายสองคนก็ยกแขน ขาร่างไร้วิญญาณขึ้น และเหวี่ยงลงไปในถังขยะขนาดใหญ่

ตึก...

ตึก ตึก
อา...
คว้าไว้...
จะคว้าไว้..

“กูจะคว้าไว้ให้ได้เลย” ผมตะโกนเสียงดังหลังจากภาพในหัวของผมมันผุดขึ้นมาอย่างประหลาดทั้งๆที่มันหมดสิ้นไปแล้ว แสงสว่างสีแสดสะท้อนไปมาอยุ่ในความคิด มันร้อนแรงและแผดเผาให้ใจที่มันหนาวเหน็บละลายหายไป เหมือนมันกำลังเข้ามาแทนที่ความหนาวเย็นที่เคยอยู่ จากนั้นพลังกาย และความรู้สึกทั้งหมดก็ฟื้นคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว 

โครม!!!
ผมกระโดดลุกพรวดออกมาจากถังขยะจนมันเสียสมดุลล้มตะแคงลงล่าง เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมาก็เจอชาย2ตนใส่เสื้อกล้ามสกปรกๆกำลังยืนมองผมอยู่ พวกนี้อีกแล้ว ผมเกลียดมัน ไปให้พ้นไป 
“ไปให้พ้นไป๊!!!” ว่าแล้วผมก็ตะโกนเสียงดังแล้วสะบัดมือออกไปราวกับจะไล่ความคิดนั้นออก พริบตา อะไรซักอย่างสีดำๆก็กวาดสองคนนั้นปลิวไปข้างๆอย่างแรง ผมตกใจรีบหันไปมองสีดำนั้น มันไวมากจนมองแทบไม่ทัน แต่ก็ต้องตกใจอีกครั้งมือมันติดอยู่กับมือของตัวเอง มันเป็นเหมือนหนวดปลาหมึกที่มีตะปุ่มตะป่ำรอบตัว มันยืดไปมาเหมือนมันมีความคิดเป็นของตัวเอง มันติดอยู่กับมือผม มันมีห้าสายกำลังสะบัดไปสะบัดมา มัน...
มันคือมือของผมเอง

จบตอนที่ 9.5 : ไขว่คว้า อ่านต่อตอนที่9.6 นะครับ
(ไม่นึกว่าจะยาว ขอตัดไปตอนพิเศษหน้าแล้วกัน เหอๆ  ติชมได้นะครับ )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น